แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ แล้วจำเลยทั้งสองสบคบกันโอนที่พิพาทให้เป็นชื่อจำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทางทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนเสีย จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์ทราบการโอนจากประกาศของทางราชการแล้วไม่คัดค้าน ดังนี้จำเลยไม่ได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ร่วมกันซื้อที่พิพาทจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรกัน โดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 และยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยฎีกาว่าตามทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรแบ่งกันโดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่กันโจทก์ทราบดีและยินยอมให้กระทำไป ถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์จะขอให้เพิกถอนไม่ได้ ดังนี้ ประเด็นที่จำเลยทั้งสองฎีกาถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์โดยจำเลยที่ ๒ รู้เห็น ต่อมาจำเลยทั้งสองสมคบกันโอนเป็นชื่อจำเลยที่ ๒ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว ลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับโอนแทน ก็ไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้ก็ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้กำไรที่โจทก์ควรได้และค่าใช้จ่ายรวม ๑๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายที่โจทก์ฟ้องโจทก์ทำขึ้นเองภายหลังที่จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินให้จำเลยที่ ๒ และสัญญาดังกล่าวระบุว่าโจทก์วางมัดจำ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนก่อนจะโอนได้มีประกาศของทางราชการหลายครั้ง โจทก์ไม่คัดค้าน โจทก์จึงไม่มีอำนาจให้ศาลเพิกถอนการโอนที่พิพาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทเพื่อแบ่งขายโดยให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาจะซื้อขาย และจำเลยที่ ๒ ลงชื่อเป็นเจ้าของ น.ส.๓ ที่พิพาท การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่กันโจทก์รู้ดีและยินยอม ถือว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปโดยสุจริตมีค่าตอบแทน โจทก์จะขอให้เพิกถอนไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการโอนที่พิพาทของจำเลยทั้งสอง การซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยไม่สุจริตเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ พิพากษากลับให้เพิกถอนการโอนที่พิพาท และถ้าไม่สามารถโอนที่พิพาทให้โจทก์ได้ก็ให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๑ คือเงินมัดจำ ๑๐,๐๐๐ บาท กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าใช้จ่ายที่โจทก์ออกไป ๖,๐๒๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามทางพิจารณาฟังได้ว่า โจทก์จำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรแบ่งกัน โดยให้จำเลยที่ ๒ ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.๓ ทั้งการที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่กันนั้น โจทก์ก็ทราบดีและยินยอมให้กระทำไปทั้งสิ้น จึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนตรงตามประเด็น โจทก์จะขอให้ศาลเพิกถอนไม่ได้ พิเคราะห์แล้ว ตามคำให้การของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองหาได้ตั้งประเด็นให้การว่าจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรแบ่งกันโดยให้จำเลยที่ ๒ ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.๓ และยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ ๑ ไว้ไม่ แต่จำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ เป็นของตนเองโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์ทราบการโอนจากประกาศของทางราชการแล้วไม่คัดค้าน จึงเห็นว่าตามประเด็นที่จำเลยทั้งสองฎีกาขึ้นมานี้ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลล่างทั้งสองจะได้วินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง