แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิศาลพิพากษาขับไล่ โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเช่าที่จำเลย+ยังค้างอยู่ในคดีเดิมเป็นคดีใหม่ขึ้นเช่นนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
ผู้ที่อุทิศที่ดินให้แก่ผู้อื่น (นิติบุคคล) ไปแล้วและเข้าร่วมกับนิติบุคคลเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเช่นนี้ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
คดีนี้นายอุสมาน กะรี่มี ผู้รับมอบอำนาจจากนางมิด้าและนายเหม นายอุสมาน เป็นอิหม่ามดูแลรักษาผลประโยชน์ของมัสยิด สุเหร่า วัดคิด ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลฟ้องจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ของสุเหร่าวัดคิด และโจทก์จัดให้มีผู้เช่าห้องแถว ๔ ห้อง จำเลยเก็บค่าเช่าที่ยังค้างไม่มอบให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนค่าเช่าพร้อมทั้งดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๑๖๕๙๘ บาท ๗๕ สตางค์ และค่าเสียหายอีก ๑,๕๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้รวมใจความว่า
๑. ทรัพย์รายพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ๆ ไม่เสียหาย จำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการดูแลของสุเหร่าวัดคิด ๆ ไม่เป็นนิติบุคคล ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
๒. โจทก์ฟ้องซ้ำ
๓. ค่าเสียหายที่ฟ้องเรียกมาเกินควร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อตัดฟ้องของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้นและฟังว่าห้องแถวหมายเลข ๑ ถึง ๔ เป็นของโจทก์จำเลยยังไม่ส่งค่าเช่าและเห็นว่าจำเลยยังค้างส่งค่าเช่าอีกเพียง ๑๖๐๓๗.๘๖ บาท ส่วนค่าเสียหายโจทก์สืบไม่สม พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๖๐๓๗.๘๖ บาท กับดอกเบี้ย ฯลฯ คำขออื่นให้ยก และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อ ก.ม.๒ ข้อ คือ ๑. โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยและฟ้องเคลือบคลุม ๒. โจทก์ฟ้องคดีซ้ำและว่าค่าเช่าโจทก์จะเรียกย้อนหลังมาแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๘ มิได้
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ได้ความว่าเดิมนางมิด้า โจทก์กับนางอะยาดอุทิศที่ดินให้เป็นของสุเหร่าวัดคิด แต่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จำเลยเป็นผู้ดูแลเก็บค่าเช่าห้องแถวตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๒ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๘ นางมิด้า นางอะยาดและสุเหร่าวัดคิดฟ้องขับไล่จำเลย ๆ ต่อสู้กรรมสิทธิศาลฎีกาพิพากษาขับไล่ ต่อมาวันที่ ๒๘ เมษายน ๙๕ สุเหร่าวัดคิดจดทะเบียนเป็นนิติบุคค โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขึ้น เรียกค่าเช่าที่จำเลยเก็บตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๘,๙๐๐ บาท
เห็นว่าสุเหร่าวัดคิดจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยชอบแล้วย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ และฟ้องก็ได้บรรยายความไว้ชัดเจนไม่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดอย่างใด การที่นางมิด้าและนายเหมเข้าร่วมเป็นโจทก์ฟ้องด้วยก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะคนทั้งสองนี้ ฟ้องในฐานะที่ได้อุทิศที่ดินสุเหร่าแล้ว
คดีโจทก์ไม่เป็นการฟ้องซ้ำเพราะเรื่องก่อนเป็นเรื่องฟ้องขับไล่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเรียกค่าเช่า เป็นคดีคนละประเด็น
อนึ่งสุเหร่าวัดคิดเพิ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๕ ไม่ปรากฎว่าได้รับสิทธิหรือหน้าที่ซึ่งได้เกิดมีขึ้นเมื่อก่อนหน้าจดทะเบียนแค่ไหน ฉนั้นสุเหร่าวัดคิดคงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าได้แต่วันจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ปรากฎว่าได้อุทิศที่ไปแล้วไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าได้
พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินค่าเช่าแก่สุเหร่าวัดคิดแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๕ ถึงวันฟ้อง เดือนละ ๒๑๐ บาท คำนวนได้ ๑๔ เดือน เป็นเงิน ๒,+๔๐ บาท กับดอกเบี้ย ฯลฯ