คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้กรรมการตรวจฎีกาโจทย์ อุทธรณคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เปนหัวน่าแลให้ที่สำนักอาศรัยแลได้สมรู้กับนายเริ่มแลพวกที่มาปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาลนายเริ่มกับพวกได้ปล้นทรัพย์นางดี ทิพประชาบาล เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๑ ศาลมณฑลสุราษฎร์ได้พิพากษาลงโทษนายเริ่มกับพวกเสร็จไปแล้ว ในคดีแดงที่ ๑๒๕/๒๔๖๑ จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานสมรู้ในการปล้น ตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๐-๓๐๑ แลมาตรา ๖๔-๖๕ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ แลต่อสู้ว่าจำเลยได้เปนผู้ช่วยสืบสวนให้เจ้าพนักงานจับผู้ร้ายรายปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล จำเลยหาได้สมรู้ในการร้ายด้วยไม่ฯ
ฐานพิจารณาได้ความว่า ผู้ร้ายพวกปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล อยู่ห่างตำบลกับบ้านจำเลย ผู้ร้ายได้มาพักแลกินอยู่หลับนอนที่บ้านจำเลยหลายวัน แล้วจึงได้ไปปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล เมื่อเวลาเจ้าพนักงานไต่สวนเรื่องปล้นจำเลยได้เปนพยานให้การว่า จำเลยได้จัดหาได้นายพัดเปนผู้สืบสวนสำหรับการปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล เพื่อให้ทำการติดต่อกับพวกผู้ร้าย เมื่อพวกผู้ร้ายได้มาพักอยู่ที่บ้านจำเลยนั้น จำเลยได้จัดให้นายพัดกับผู้ร้ายพบกัน แลลงมือหารู่ทางในการปล้น แลจำเลยเองก็ช่วยหาช่องทางเหมือนกันในวันที่นางดี ทิพประชาบาลถูกปล้น มีนายจู นายเนียนมาที่บ้านจำเลย ๆ พูดอยู่เสียกับนายจู นายเนียน นายพัดก็พาพวกผู้ร้ายออกจากบ้านจำเลยไป ในคืนวันนั้นพวกผู้ร้ายเหล่านี้ได้ไปปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาลฯ
อนึ่งได้ความจากนายจู นายเนียนพยานโจทย์ว่า เมื่อพยานมาที่บ้านจำเลยนั้นได้พบพวกผู้ร้ายซึ่งไปปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล อยู่ที่บ้านจำเลย แต่พยานไม่รู้สึกว่าพวกเหล่านี้จะมาทำการร้าย แลโจทย์มีพยานอีกตอนหนึ่งว่า จำเลยได้ให้การเปนพยานตามข้อความดังกล่าวมาแต่ต้นโดยชื่นตา ฯ
ส่วนจำเลยอ้างตัวเองเปนพยานเบิกความปฏิเสธคำพยานของตนในชั้นไต่สวนว่า ไม่ใช่ถ้อยคำของจำเลย แลว่าไม่ทราบความจริงว่าพวกที่มาพักบ้านจำเลยตั้งใจจะไปปล้น ได้ความดังนี้ ศาลมณฑลสุราษฎร์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เปนผู้สมรู้ด้วยผู้ร้ายปล้น มีความผิดตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ แลมาตรา ๖๕ พยานจำเลยไม่พอหักล้างสำนวนโจทย์ได้ พรรคพวกของจำเลยได้ถูกลงโทษให้จำคุกมีกำหนด ๑๒ ปี จึงให้จำคุกจำเลย ๑๒ ปี ลดฐานเปนผู้สมรู้เสีย ๑ ใน ๓ คงเหลือ ๘ ปี จำเลยได้เปิดเผยความจริงจนได้ตัวผู้ร้ายเปนคุณความดี ควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๕๙ คงให้จำคุกนายแพนจำเลยมีกำหนด ๔ ปีฯ
จำเลยอุทธรณฯ
ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานโจทย์นอกจากกล่าวว่าผู้ร้ายที่ปล้นบ้านนางดี ทิพประชาบาล มาพักอยู่ที่บ้านจำเลยแล้ว ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าจำเลยได้สมรู้กับพวกเหล่านั้นดังข้อโจทย์หา ส่วนคำเบิกความของจำเลยในชั้นไต่สวนนั้น เปนคำพยานในเรื่องหนึ่ง จะมามัดเอาว่าเปนคำให้การรับของจำเลยในเรื่องนี้ไม่ต้องด้วยวิธีพิจารณาเฉภาะคำพยานโจทย์ไม่พอลงโทษจำเลยได้ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อพิภาษไปฯ
นางดี ทิพประชาบาลทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแลปฤกษาคดีนี้ เห็นพร้อมกันว่าคำรับของจำเลยในคำเบิกความเปนพยานชั้นไต่สวนโดยชื่นตานั้น ฟังเปนคำรับตามกฎหมายได้ อนึ่งตามท้องสำนวนเห็นว่าจำเลยมีพิรุธ น่าจะรู้เห็นเหตุร้ายรายนี้โดยแน่ตระหนัก เพราะผู้ร้ายอยู่ต่างตำบลได้มีอาวุธ ได้มาพักอาศรัยอยู่บ้านจำเลยหลายเวลา ทั้งไม่ปรากฎว่าได้มาทำการอะไรโดยสุจริตให้ประจักษ์ขึ้น เปนการผิดปรกติ ศาลฎีกาฟังหลักฐานฝ่ายโจทก์ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ลงความเชื่อว่าจำเลยได้สมรู้การปล้นรายนี้จริง ศาลอุทธรณยกเหตุไม่พอที่จะให้จำเลยชนะคดีโจทย์ได้ จึงพิพากษาว่าให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเสีย คงยืนตามคำตัดสินศาลมณฑลสุราษฎร์ ฯ
วันที่ ๕ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share