แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ได้ที่ดินมาจากผู้อื่น และลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นภรรยาลงในใบเหยียบย่ำ ตามพฤติการณ์โจทก์จำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นร่วมกัน การที่โจทก์ยอมให้จำเลยมีชื่อในใบเหยียบย่ำแต่ผู้เดียว ไม่เป็นข้อแสดงว่าโจทก์สละสิทธิ์ให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยเป็นสามีภรรยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาจำเลยมีชู้ โจทก์ จำเลยยอมเลิกเป็นสามีภรรยากัน แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งทรัพย์ จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยต่อสู้ว่า ที่นาทุ่งหนองบัวเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ที่ฟังว่า เป็นของโจทก์จำเลยให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ จำเลยอยู่กินฉันท์สามีภรรยา แต่ไม่จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ขอที่ดินได้มาจากนายตันเอี่ยม 50 ไร่ ลงชื่อจำเลยในใบเหยียบย่ำเรียกว่า นาทุ่งหนองบัว ต่อมาได้ขายไปได้เงิน 10,000 บาท จำเลยเอาเงินขายนานี้มาซื้อนาบ้าง ให้กู้บ้าง
ตามพฤติการณ์พออนุมานได้ว่า โจทก์ จำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นร่วมกัน นาทุ่งหนองบัวที่โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในใบเหยียบย่ำแต่ผู้เดียว ไม่เป็นข้อแสดงว่าโจทก์สละสิทธิ์ให้จำเลยจำเลยมีชื่อในใบเหยียบย่ำแต่คนเดียว ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของโจทก์อยู่ในตัว รูปคดีโจทก์มีสิทธิในทรัพย์ที่ขอแบ่งบางอย่าง แต่ศาลอุทธรณ์ยังหาได้วินิจฉัยไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในเรื่องทรัพย์ แล้วพิพากษาใหม่