คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1647/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญากู้ยืมเงินส่วนที่เกิน 350,000 บาท เป็นดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แล้วนำมารวมเข้าเป็นต้นเงินกู้ที่ทำขึ้นใหม่เป็นดอกเบี้ยต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ส่วนของต้นเงินที่มาจากดอกเบี้ยที่ไม่ชอบทั้งหมดย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ไม่ทำให้ส่วนของต้นเงินที่ชอบจำนวน 350,000 บาท เสียไปด้วย เพราะพึงสันนิษฐานโดยพฤติการณ์แห่งกรณีได้ว่าโจทก์จำเลยเจตนาให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 โจทก์จึงคงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินในส่วนที่ชอบคือต้นเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2540 ซึ่งเป็นวันทำสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับก่อน ทั้งที่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2540 จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 702,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยปีละ 1 ครั้ง เมื่อครบกำหนดชำระดอกเบี้ย จำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมด จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 464,208 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,166,208 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 702,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้รับเงิน 702,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ แต่เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2536 จำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 350,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยภายใน 1 ปี แต่จำเลยไม่มีเงินชำระ วันที่ 19 มกราคม 2536 โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับใหม่โดยรวมต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระกับค่าเสียหายอีก 9,500 บาท เป็นต้นเงินกู้ 580,000 บาท แต่จำเลยก็ยังไม่มีเงินชำระ ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2540 โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องโดยนำต้นเงินกู้ 580,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ที่ค้างชำระรวมเป็นต้นเงินกู้ 702,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 พฤษภาคม 2544) จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้คำนวณตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 350,000 บาท นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ควรต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยเพราะเป็นโมฆะ หรือหากต้องชำระดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัดก็รับผิดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเป็นเวลา 5 ปี เท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า สัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องคดีนี้จำนวนเงินกู้ส่วนที่เกิน 350,000 บาท เป็นดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ แล้วนำมารวมเข้าเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 ที่ทำขึ้นใหม่ อันเป็นดอกเบี้ยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ส่วนของต้นเงินที่มาจากดอกเบี้ยที่ไม่ชอบทั้งหมดย่อมตกเป็นโมฆะ แต่สัญญากู้ยืมเงินนี้แม้จะมีส่วนของต้นเงินที่ไม่ชอบรวมอยู่ด้วย ก็ไม่ทำให้ส่วนจองต้นเงินที่ชอบจำนวน 350,000 บาท เสียไปด้วย เพราะพึงสันนิษฐานโดยพฤติการณ์แห่งกรณีได้ว่าโจทก์จำเลยเจตนาให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 โจทก์จึงคงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินในส่วนที่ชอบคือต้นเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่ระบุในสัญญานับแต่วันที่ 19 มกราคม 2540 ซึ่งเป็นวันทำสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับก่อน ทั้งที่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับตามนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท.

Share