คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1647/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เพิ่งยกปัญหาเรื่องการดำเนินการกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นได้ เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ได้มีโอกาสคัดค้านตั้งประเด็นเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225วรรคสอง ในคดีเดิมผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องทำสัญญาต่างตอบแทนกับบ.หรือโจทก์ ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ร้องกับโจทก์หรือระหว่างผู้ร้องกับ บ. การที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่ามีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ร้องกับบ. ขึ้นมาอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท คดีถึงที่สุดเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศให้จำเลยและบริวารออกจากที่เช่า ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถว 4 ชั้น ซึ่งผู้ร้องได้ลงทุนก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2507 โดยสวมสิทธิการเช่าที่ดินมาจากจำเลยผู้เช่าเดิมผู้ร้องตกลงเช่าที่พิพาทกับนางบุญซับ มีข้อตกลงว่าให้ผู้ร้องเช่าที่พิพาทมีกำหนด 40 ปี โดยผู้ร้องต้องลงทุนก่อสร้างตึกในที่พิพาทและยกกรรมสิทธิ์ตึกดังกล่าวให้แก่นางบุญซับเมื่อครบกำหนดการเช่าที่พิพาท ผู้ร้องได้สร้างตึกในที่พิพาทเสร็จแล้วต่อมาโจทก์รับมรดกที่พิพาทจากนางบุญซับจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนดังกล่าวโดยให้ผู้ร้องเช่าที่พิพาทต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับนางบุญซับมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นบุคคลสิทธิผูกพันเฉพาะนางบุญซับ ผู้ร้องจะอ้างมายันโจทก์ผู้รับโอนที่ดินจากนางบุญซับหาได้ไม่ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยต้องถูกบังคับขับไล่ด้วย ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายที่ผู้ร้องอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีที่ผู้ร้องเคยฟ้องโจทก์ให้จดทะเบียนการเช่าซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2143/2531 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยโดยไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าแม้ประเด็นข้อนี้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าผู้ร้องเคยฟ้องโจทก์ให้จดทะเบียนการเช่า ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยในคดีดังกล่าวแล้วว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ร้องกับโจทก์หรือระหว่างผู้ร้องกับนางบุญซับการที่โจทก์เพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นได้เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ได้มีโอกาสคัดค้านตั้งประเด็นเรื่อง การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายประการต่อมาว่า ในคดีเดิมผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ร้องทำสัญญาต่างตอบแทนกับนางบุญซับหรือโจทก์ ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 2143/2531 วินิจฉัยแล้วว่าไม่มีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ร้องกับโจทก์หรือระหว่างผู้ร้องกับนางบุญซับ การที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่ามีสัญญาต่างตอบแทนระหว่างผู้ร้องกับนางบุญซับขึ้นมาอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
พิพากษายืน

Share