คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีเจตนาจะขายที่พิพาทให้แก่จำเลยเพียงครึ่งหนึ่งแต่ลงลายมือชื่อทำนิติกรรมขายที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลย การทำนิติกรรมดังกล่าวเกิดจากความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 โจทก์มีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงขายที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้จำเลย แต่เมื่อไปทำสัญญาที่สำนักงานที่ดิน จำเลยฝ่ายเดียวเป็นผู้ติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่ และได้นำเอกสารมาให้โจทก์ลงชื่อ โจทก์เชื่อใจว่าจำเลยคงจะจัดการทำสัญญาซื้อขายตามที่ได้ตกลงกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นการซื้อขายทั้งแปลง การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงโจทก์ให้สำคัญผิดในสารสำคัญของสัญญา ขอให้พิพากษาว่าสัญญาเป็นโมฆะ

จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงซื้อที่พิพาทจากโจทก์ทั้งแปลง นิติกรรมการซื้อขายมีผลสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีเจตนาจะขายที่พิพาทให้แก่จำเลยเพียงครึ่งหนึ่ง แต่การที่โจทก์ลงลายมือชื่อทำนิติกรรมขายที่พิพาททั้งแปลงให้จำเลยเพราะเกิดความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 119 โจทก์ย่อมมีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างได้

พิพากษายืน

Share