แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินของตนปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาผู้เช่าได้ขยายการครอบครองเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลย โดยจำเลยมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวดูแลหรืออนุญาตให้ผู้เช่ากระทำเช่นนั้น ถือว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาท และผู้เช่ามิได้ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย แม้ผู้เช่าจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๖๕๑ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลย ต่อมาโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์จำเลยไม่ยอมรับรองแนวเขต และได้นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินของโจทก์ตามโฉนดดังกล่าวมีเขตตามฟ้องซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทด้วยห้ามจำเลยนำชี้รุกล้ำ
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินของจำเลย และจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่าสิบปีแล้วแม้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์แต่จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วนภายในหลัก ล.ม.๑ ล.ม.๓ และ ล.ม.๔ ในแผนที่พิพาทโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน ๑๐ ปี จนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว พิพากษาว่าโจทก์คงมีกรรมสิทธิ์เฉพาะในแนวเขตจากหลัก ล.ม.๑ ถึง ล.ม. ๓ ในแผนที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งหมดโดยมีแนวเขตที่ดินเป็นเส้นตรงจากหลัก ล.ม.๑ ล.ม.๒ ล.ม. ๓ ถึง ล.ม. ๔ ในแผนที่พิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์เดิมที่ดินพิพาทเป็นลำกระโดง จำเลยนำที่ดินของจำเลยตามแนวลำกระโดงซึ่งเป็นเขตติดต่อกับที่ดินพิพาทให้นางเจริญ นายกมล และนายไสวเช่าปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาลำกระโดงตื้นเขินขึ้น นางเจริญได้ต่อเรือนครัวเข้าไปในที่พิพาท นายกมลสร้างรั้วสังกะสีลงไปในที่ดินพิพาท ส่วนนายไสวก็ปกครองที่ดินต่อไปจนถึงเขตลำกระโดง เป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผู้เช่าทั้ง ๓ ได้กระทำไปตามลำพังส่วนตัวมิได้ขออนุญาตจากจำเลย และจำเลยก็มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวดูแลแต่ประการใด ขณะที่ผู้เช่าทั้ง ๓ เช่าที่ดินของจำเลยนั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชี้แนวเขตที่ดินของตนให้ผู้เช่าทั้งสามทราบว่ามีเขตถึงที่ดินพิพาทด้วยเห็นว่าจำเลยปล่อยให้ผู้เช่าทั้ง ๓ ครอบครองที่ดินตามลำพัง ถือได้ว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือมิได้ให้ผู้เช่าทั้ง ๓ ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนตนโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ฉะนั้นจำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒
พิพากษายืน