คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1642-1643/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และบรรยายว่าจำเลยได้ปล้นเอาทรัพย์ไปจากเจ้าทรัพย์ 4 คนตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยปล้นเอาทรัพย์ไปจากเจ้าทรัพย์ได้เพียง 3 คนเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่ต่างกันเช่นนี้หาใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องไม่

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้เป็นเรื่องเดียวกัน พะยานชุดเดียวกันจึงพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังจับไม่ได้อีก ๕ คน ได้บังอาจสมคบกันมีปืน มีดปลายแหลมและไม้เป็นศาสตราวุธปล้นทรัพย์ของนายแวน นางสาวเจริญ นางสาวฟุ้ง นางสาวประคองไปรวมราคา ๒,๓๗๔ บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๑๖๓ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔+ (ฉบับที่ ๔) มาตรา ๗ และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยทั้งสองปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกับพวกได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ ๑๐ ปีตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๑๖๓ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) มาตรา ๗ และปราณีลดโทษให้นายโฉมจำเลยตามมาตรา ๕๙ ให้ ๑ ใน ๔ จำคุกนายโฉม ๗ ปี ๖ เดือนและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒๓๒๔ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาพิจารณาข้อที่จำเลยฎีกาว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในชั้นพิจารณานั้นผู้ร้ายมิได้เอาสร้อยของนางแวนไป กล่าวคือนางแวนเอามือกุมสร้อยคอไว้ ผู้ร้ายคนหนึ่งเอามือมาคลำที่คอ นางแวนดึงสร้อยขาดเหวี่ยงข้างหลัง ผู้ร้ายเอาไปไม่ได้นี้เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องต้องยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้สมคบกันปล้นทรัพย์ของเจ้าทรัพย์ ๔ คน เมื่อปล้นเอาทรัพย์ของเจ้าทรัพย์คนอื่นไปได้ก้ไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง จึงพิพากษายืน

Share