คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีเป็นผู้จัดการและมีอำนาจจำหน่ายสินบริคนห์ตาม ป.พ.พ.ม.1468,1473 เมื่อภริยาอ้างว่าการซื้อขายสินบริคนห์ระหว่างสามีกับผู้ซื้อเป็นการสมยอมกันเป็นโมฆะ ภริยาผู้อ้างก็มีหน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามนั้น จึงจะชนะคดี

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๘๗๐ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ กับหม่อมเจ้าปรานี บิดาจำเลยเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๘๙ หม่อมเจ้าปรานีขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้แก่จำเลยโดยสมยอมมิได้มีการชำระเงินและราคาปกปิดมิให้โจทก์ทราบ เพื่อให้โจทก์หมดสิทธิ ต่อมาวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๙๐ จำเลยนำไปจำนองธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดแล้วจำเลยได้ขายให้นายบุญทองเป็นเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท ครั้นวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ หม่อมเจ้าปรานีวายชนม์ โจทก์มีสิทธิได้ ๑ ใน ๓ ส่วน ขอให้ศาลแสดงว่านิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดที่ ๑๘๗๐ ระหว่างหม่อมเจ้าปรานีกับจำเลยเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.ม.๑๑๘ โจทก์มีกรรมสิทธิในที่ดิน ๑ ใน ๓ ส่วนหรือให้จำเลยใช้เงิน ๑๘๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยาของหม่อมเจ้าปรานีแม้จะฟังว่าเป็นสินสมรสสามีก็มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นได้ และหม่อมเจ้าปรานีได้โอนขายให้จำเลยโดยสุจริต และเปิดเผยในราคาอันสมควร นอกจากนี้จำเลยยังต่อสู้ในข้ออื่น ๆ อีกหลายประการ
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยโจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาคัดค้านว่าการซื้อขายระหว่างหม่อมเจ้าปรานีกับจำเลย เป็นการสมยอมกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินรายพิพาทโฉนดที่ ๑๘๗๐ มีชื่อหม่อมเจ้าปรานีแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ แม้จะเป็นทรัพย์สินสมรสดังที่โจทก์อ้างสามีก็เป็นผู้จัดการสินบริคนห์และมีอำนาจจำหน่ายสินบริคนห์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๘ และ ๑๔๗๓ เมื่อโจทก์อ้างว่าการซื้อขายระหว่างหม่อมเจ้าปรานีกับจำเลย เป็นการสมยอมกัน ซึ่งจะต้องตกเป็นโมฆะ โจทก์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ประจักษ์ ว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อโจทก์สืบไม่ได้โจทก์ก็ต้องแพ้
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของโจทก์

Share