คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2363/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์หลายคราว กับขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญามูลคดีสืบเนื่องจากจำเลยผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญา ส่วนฟ้องแย้ง ของจำเลยอ้างว่า โจทก์ทำให้จำเลยขาดความเชื่อถือ ในทางการค้า ต้องเสียหายขาดประโยชน์รายได้จากการ ประกอบธุรกิจ ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ฟ้องแย้ง เป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง เป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้ชื่อเสียงของจำเลยเสียหาย ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นมูลเหตุคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อาจจะรวมการพิจารณาชี้ขาดตัดสิน เข้าด้วยกันได้ ตามที่บัญญัติใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและ วิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 มาตรา 26

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอสินเชื่อกับโจทก์หลายประเภทรวมทั้งสินเชื่อทรัสต์รีซีทและเลตเตอร์ออฟเครดิต จำเลยได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์รวม 59 ครั้ง เพื่อรับมอบเอกสารสิทธิ์ในสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ ซึ่งโจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยสำหรับการสั่งสินค้าและชำระค่าสินค้าแทนจำเลย จำเลยได้รับเอกสารสิทธิจากโจทก์เพื่อรับสินค้าไปจำหน่ายเรียบร้อยแล้วและโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไปแล้ว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้งหมดให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 223,914,032.18 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 188,891,125.88 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าวหรือชำระไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดทรัพย์จำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์เพื่อรับมอบเอกสารสิทธิในสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ จำเลยไม่เคยเห็นสัญญาทรัสต์รีซีทที่แนบท้ายฟ้อง และโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง การที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้เงินใด ๆ ต่อโจทก์ แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเพื่อต้องการให้จำเลยได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยจำเลยมีคู่ค้าและผู้ถือหุ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากทำให้บริษัทจำเลยขาดความเชื่อถือ จำเลยต้องเสียหายขาดประโยชน์รายได้จากการประกอบธุรกิจเป็นเงิน300,000,000 บาท ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดใช้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน 300,000,000 บาท
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า “ฟ้องแย้งเป็นเรื่องละเมิดไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ”
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและเลตเตอร์ออฟเครดิต รวมต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 223,914,032.18 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลความจริงเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์เป็นเอกสารเท็จ การที่โจทก์นำความเท็จมาฟ้องกล่าวหาจำเลยคดีนี้จึงน่าจะรับฟังได้ว่า คำฟ้องของโจทก์กับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งศาลควรรวมพิจารณาในคราวเดียวกันได้นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์หลายคราว กับขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตามสัญญาเลตเตอร์ออฟ เครดิตที่โจทก์ชำระเงินแทนจำเลยไป ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว ซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องจากจำเลยผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาส่วนฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่าโจทก์ทำให้จำเลยขาดความเชื่อถือในทางการค้า จำเลยต้องเสียหายขาดประโยชน์รายได้จากการประกอบธุรกิจ ขอให้บังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้องเป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้ชื่อเสียงของจำเลยเสียหาย ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นมูลเหตุคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อาจจะรวมการพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามและมาตรา 179 วรรคท้าย ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share