คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634-1635/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาท และมีคำขอให้โจทก์โอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวคืนให้ผู้ร้องสอด เป็นการร้องสอดเข้ามาเพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) เพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์ ในทำนองเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์กับพวกไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2554 ของศาลชั้นต้น แม้ในคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ แต่ก็มีประเด็นพิพาทเช่นเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์กับพวกไว้ในคดีดังกล่าวว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทหรือไม่ คำร้องสอดของผู้ร้องสอดถือเป็นคำฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องในเรื่องเดียวกัน ผู้ร้องสอดจะยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
ในคดีที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟ้องขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาทคืนแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 282/2545 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องความเป็นเจ้าของของที่ดินที่พิพาท จำเลยทั้งสี่จึงสามารถสืบพยานตามคำให้การและฟ้องแย้งในคดีนี้ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 33,270 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและอพยพขนย้ายครอบครัวพร้อมบริวารกับผู้เช่าออกไปจากที่ดินและทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพอันดีแล้วส่งมอบให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 2097 และ 4810 ตำบลทุ่งกระพังโหมอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสี่เดือนละ 30,000 บาท จนกว่าจะส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินคืน
โจทก์ให้การและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
นายนันทวัฒน์ ผู้ร้องสอด ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแทนผู้ร้อง สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3กับโจทก์จึงไม่มีผลผูกพันผู้ร้องสอด ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายและขอให้จดทะเบียนใส่ชื่อของนางสาวตวงรัตน์ นางสาวพรพัฒน์ จำเลยที่ 1 และผู้ร้องสอดในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาท หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงแทนเจตนาและให้โจทก์ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาทคืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่า ผู้ร้องสอดเคยยื่นฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ซึ่งมูลความแห่งคดีเป็นเรื่องเดียวกันหากอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีผู้ร้องสอดจะอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ และโจทก์จะอยู่ในฐานะเป็นจำเลย เป็นกรณีต้องห้ามมิให้ผู้ร้องสอดยื่นฟ้องคดีเรื่องเดียวกันอีก จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ประเด็นข้อพิพาทข้อ 1. เรื่องโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่หรือไม่ ข้อ 3. เรื่องสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ8410 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อ 4. เรื่องโจทก์ต้องคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 2097 และ 8410 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แก่จำเลยทั้งสี่หรือไม่ และข้อ 5. เรื่องจำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งหรือไม่ในคดีนี้ กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 282/2545 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ในคดีนี้ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เช่นเดียวกัน และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และมีคำสั่งให้คู่ความนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อพิพาทข้อ 2. เรื่องโจทก์เสียหายหรือไม่เพียงใดแต่เพียงประเด็นเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสี่โดยให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 2097 และ4810 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่
โจทก์ จำเลยทั้งสี่และผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นส่วนฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยทั้งสี่ให้ เป็นพับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องโจทก์ ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสี่ และผู้ร้องสอด ให้เป็นพับ
โจทก์และผู้ร้องสอดฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 และผู้ร้องสอดถึงแก่ความตายนางสาวนงเยาว์ ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ส่วนนางทิพาพรรณ บุตรของผู้ร้องสอด ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้ร้องสอด ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดว่า คำร้องสอดของผู้ร้องสอดเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2554 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาท และมีคำขอให้โจทก์โอนที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาทคืนให้ผู้ร้องสอดเป็นการที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้เพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) เพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์ ในทำนองเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์กับพวกไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2554 ของศาลชั้นต้น ทำให้คำร้องสอดของผู้ร้องสอดเป็นคำฟ้อง โดยผู้ร้องสอดเป็นผู้อยู่ในฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์อยู่ในฐานะเป็นจำเลยเช่นเดียวกับที่ผู้ร้องสอดฟ้องโจทก์กับพวกไว้ในคดีแพ่งดังกล่าว ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา และคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่พิพาทดังเช่นที่ผู้ร้องสอดขอให้โจทก์โอนที่ดินสองแปลงที่พิพาทคืนให้แก่ผู้ร้องสอด ถึงแม้ในคดีนี้จะเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาทและขับไล่จำเลยทั้งสี่ แต่ก็มีประเด็นพิพาทประเด็นเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทหรือไม่เช่นเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์กับพวกไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 48/2554 ของศาลชั้นต้น เป็นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้อน ผู้ร้องสอดจะยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยงดสืบพยานในประเด็นข้อ 1 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 แล้วฟังว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงที่พิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 282/2545 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 4288/2551 โดยวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสาม (หมายถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้) อ้างว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ไว้แทนนายนันทวัฒน์ (ผู้ร้องสอด) ซึ่งเป็นบิดาของโจทก์ทั้งสาม นายนันทวัฒน์ได้ตกลงจะขายที่ดินดังกล่าวกับที่ดินแปลงอื่นรวม 73 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 1 (นายทองอินทร์) โดยโจทก์ทั้งสามได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 ให้แก่จำเลยที่ 2 (โจทก์) เป็นการล่วงหน้าและรับเงินมัดจำจำนวน 8,000,000 บาท ไปจากจำเลยที่ 1 แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ทั้งสามจึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 คืนแก่โจทก์ทั้งสาม ให้โจทก์ทั้งสามริบเงินมัดจำจำนวน 8,000,000 บาท จากจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องดังกล่าว เป็นเรื่องโจทก์ทั้งสามเป็นตัวแทนของนายนันทวัฒน์ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ 4810 และดำเนินการต่าง ๆ ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่นายนันทวัฒน์ทำไว้กับจำเลยที่ 1 สิทธิในที่ดินและตามสัญญาดังกล่าว จึงมิใช่เป็นของโจทก์ทั้งสาม หากมีการโต้แย้งสิทธิก็เป็นการโต้แย้งสิทธิของนายนันทวัฒน์ มิใช่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิใช่บุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายแพ่งที่จะนำคดีมาสู่ศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ทั้งโจทก์ทั้งสามมิได้รับมอบอำนาจจากนายนันทวัฒน์ให้ฟ้องคดีแทนตามมาตรา 60 โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้และพิพากษาแก้เป็น ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นกรณีที่มิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องความเป็นเจ้าของของที่ดินโฉนดเลขที่ 2097 และ4810 อันเป็นที่ดินแปลงที่พิพาทกันในคดีนี้ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างบรรยายในฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าว กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share