คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้เสียหายและผู้ตายอยู่ใกล้กันและจำเลยกับพวกใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้เสียหายจนล้มลง ระหว่างนั้นพวกจำเลยอีกคนหนึ่งใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยจำเลยยืนถือไม้ พวกของจำเลยยืนถือมีดอยู่ข้าง ๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียวกันสืบเนื่องจากการโต้เถียงถึงกับจำเลยจะชกต่อยกับผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกเข้าไปห้าม พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันมาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกในคราวเดียวกัน พวกจำเลยใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ 1 คืบ เป็นอาวุธแทงผู้ตายถูกที่เหนือราวนมข้างขวาทะลุเข้าปอด เลือดตกในอกขวามาก เป็นการเลือกแทงบริเวณอวัยวะสำคัญ และแทงอย่างแรง ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในชั่วระยะเวลาไม่นาน เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า การร่วมกันไปใช้ไม้และมีดปลายแหลมเป็นอาวุธตีและแทงผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกที่ไม่ชอบกัน เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาต้องการทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกทุกคนไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันแม้จะมีการกระทำหลายหน ต่อบุคคลหลายคนด้วยกันก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,288, 80, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 288 และ 80 เรียงกระทงลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก20 ปี ฐานพยายามฆ่า จำคุก 13 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 33 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยกับพวกร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายและมีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายถูกที่ราวนมข้างขวาทะลุเข้าปอดถึงแก่ความตาย ตามสำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วยหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายมานะเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายและนายมานะไปเที่ยวงานประจำปีที่ถ้ำฤษีเขางู เวลาประมาณ 20 นาฬิกาได้พบผู้ตายและนางสาวจรัสยืนโต้เถียงกับจำเลย นายปราโมทย์ นายสายชล นางสาวศรีนวล และพวกในลักษณะจะชกต่อยกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายที่หน้าชิงช้าสวรรค์ผู้เสียหายเข้าไปห้ามและดึงผู้ตายออกไป และได้เดินเที่ยวต่อจนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายให้นายมานะไปซื้อน้ำผู้เสียหายและผู้ตายไปปัสสาวะที่ข้างเมรุแล้วกลับมาผู้ตายยืนคุยกับนางสาวจรัสห่างไป 5-6 ก้าว ผู้เสียหายยืนรอนายมานะอยู่ที่หน้าร้านค้า ทันใดนั้นผู้เสียหายถูกจำเลยใช้ไม้ตี พวกจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายล้มลง ระหว่างที่ผู้เสียหายถูกตีนางสาวจรัสซึ่งยืนคุยอยู่กับผู้ตายวิ่งหนี ขณะนั้นนายมานะกลับมาเห็นผู้เสียหายนอนอยู่กับพื้นและเห็นนายสายชลกำลังใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ 1 คืบแทงผู้ตายโดยมีนายปราโมทย์ถือมีด ส่วนจำเลยยืนถือไม้อยู่ข้าง ๆเห็นว่า จำเลยกับผู้ตายได้โต้เถียงในลักษณะจะชกต่อยกันก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายและนายมานะซึ่งไปเที่ยวในงานได้เข้าไปห้ามและดึงผู้ตายออกไป ต่อมาเวลาเกิดเหตุจำเลยกับพวกใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงพยามฆ่าผู้เสียหายล้มลง ระหว่างนั้นนายสายชลได้ใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ1 คืนแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยมีนายปราโมทย์ถือมีด ส่วนจำเลยยืนถือไม้อยู่ข้าง ๆ ทั้งบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าในงานเห็นกันได้ชัดเจน นายสายชลและนายปราโมทย์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกจำเลยซึ่งร่วมในการโต้เถียงกับผู้ตายและนางสาวจรัสมาแล้วผู้เสียหายและนายมานะไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย การที่ผู้เสียหายและผู้ตายอยู่ใกล้กันและจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหาย พวกจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายจนล้มลง แล้วนายสายชลใช้มีดแทงผู้ตายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียวกัน อันสืบเนื่องจากการโต้เถียงถึงกับจำเลยจะชกต่อยกับผู้ตาย และผู้เสียหายกับนายมานะเข้าไปห้ามพฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ว่าจำเลยและนายสายชลกับพวกร่วมกันมาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกในคราวเดียวกันเพราะสาเหตุดังกล่าวที่จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยไปเที่ยวในงานแต่ได้กลับบ้านก่อนเกิดเหตุนั้น เห็นว่า จำเลยมีแต่นางเพ็ญจิตและนายวิลาศนิ่มนวล ซึ่งเป็นญาติกับจำเลยมาเบิกความ ทำให้มีน้ำหนักน้อยที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิว่า นายมานะพยานโจทก์เป็นผู้นำชี้สถานที่เกิดเหตุและให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนภายหลังเกิดเหตุ 2-3 วัน มิได้ระบุว่าใครเป็นคนร้าย คำเบิกความของนายมานะจึงขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนนั้น เห็นว่า การนำชี้ที่เกิดเหตุและให้การชั้นสอบสวนเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2529 ที่นายมานะไม่ได้ระบุว่าใครเป็นคนร้ายนั้นนายมานะได้ให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมว่าที่ให้การตอนแรกไม่ระบุตัวคนร้ายเนื่องจากยังตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกและเกิดความกลัวฝ่ายผู้กระทำความผิด และเบิกความว่าเนื่องจากกำลังใจไม่ดีเพราะเพื่อนตาย แต่ต่อมานายมานะก็ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่านายสายชล นายปราโมทย์ และจำเลยเป็นคนร้าย ได้มีการให้นายมานะซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ชี้ตัวคนร้าย นายมานะก็ชี้ตัวจำเลยโดยยืนยันว่าจำเลยร่วมกับนายสายชล นายปราโมทย์ และพวกเป็นคนร้ายตามบันทึกการชี้ตัวเอกสารหมาย จ.3 การที่นายมานะมิได้ระบุว่าใครเป็นคนร้ายตั้งแต่ต้นก็มีเหตุผลอันควรแก่การรับฟัง ทั้งมิใช่ว่าโจทก์มีแต่นายมานะเท่านั้นที่เป็นพยาน โจทก์ยังมีผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยใช้ไม้ตีเป็นประจักษ์พยานด้วย ยิ่งกว่านั้นการที่ผู้ตายบอกนายสมบูรณ์ในระหว่างที่นำส่งโรงพยาบาลราชบุรีว่านายสายชล เป็นคนแทงผู้ตาย สนับสนุนให้เห็นว่านายมานะรู้เห็นและเบิกความไปตามจริง ที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิอีกข้อหนึ่งว่า นายสมบูรณ์พยานโจทก์เบิกความว่าเวลา 23 นาฬิกาเศษ เห็นมีคนชุลมุนกันพยานเข้าไปดู เห็นนางสาวจรัสประคองผู้ตายและผู้เสียหายออกมาพยานเข้าช่วยนำไปที่กองอำนวยการต่อมามีรถตู้ของโรงพยาบาลมารับผู้ตายส่งโรงพยาบาล พยานไปด้วยโดยช่วยประคองผู้ตาย พยานได้ถามผู้ตายว่าใครเป็นคนแทงผู้ตายบอกว่านายสายชล ไม่ปรากฏว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่าได้วินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยและนายสายชลกับพวกร่วมกันมาทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวก การที่ผู้ตายบอกนายสมบูรณ์ว่านายสายชลเป็นคนแทงผู้ตายนั้นเป็นการบอกถึงคนร้ายที่แทงผู้ตายเท่านั้น หาได้มีการถามถึงผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยไม่ การที่ผู้ตายมิได้ระบุถึงจำเลยไว้จะอนุมานต่อไปว่าจำเลยมิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยหาได้ไม่การใช้มีดปาดตาลยาวประมาณ1 คืบ เป็นอาวุธแทงผู้ตาย ถูกที่เหนือราวนม ข้างขวาทะลุเข้าปอดเลือดตกในอกขวามาก ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องเป็นการเลือกแทงบริเวณอวัยวะสำคัญและแทงอย่างแรง ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในชั่วระยะเวลาไม่นาน แสดงว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกันฆ่าผู้ตาย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ฐานฆ่าผู้ตายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายและฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดสองกรรมต่างกันนั้น เห็นว่าการร่วมกันไปใช้ไม้และมีดปลายแหลมเป็นอาวุธตีและแทงผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกที่ไม่ชอบกันเช่นนี้เห็นได้ว่าเจตนาของจำเลยและนายสายชลกับพวกต้องการทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใครลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันแม้จะมีการกระทำหลายหนต่อบุคคลหลายคนด้วยกันก็ตามก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายจึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาว่าการกระทำของตนเป็นความผิดกรรมเดียว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยนี้มาวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 288, 80, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำคุก 20 ปี.

Share