คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าก่อนมอบธนบัตรที่จะใช้ล่อซื้อให้แก่สายลับมีการเปลี่ยนแผนโดยตกลงกับสายลับใหม่ว่า หากสายลับพูดคุยกับจำเลยแล้ว ได้ความว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนมาจริงให้ส่งสัญญาณด้วยการลูบผมโดยไม่มีการส่งมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่จำเลยนั้น มีเพียงร้อยตำรวจเอก ม. เบิกความยืนยันในข้อนี้ ซึ่งแตกต่างจากคำเบิกความของสิบตำรวจโท ส. ที่ว่า มีการให้สายลับนำธนบัตรไปใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย ซึ่งเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ทั้งยังขัดต่อเหตุผลที่ว่าเหตุใดสิบตำรวจโท ส. จึงไม่ทราบถึงข้อความนี้ ส่วนแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ไม่ได้ระบุจุดที่พยานโจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ไปจอดซุ่มดูเหตุการณ์และในข้อนี้พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างกัน โดยร้อยตำรวจเอก ม. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ซุ่มอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณไม่เกิน 50 เมตรส่วนสิบตำรวจโท ส. เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า ซุ่มอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 ถึง 15 เมตร ทั้งการติดต่อระหว่างสายลับกับจำเลยมีแต่เพียงการพูดคุยกันเท่านั้นไม่มีการส่งมอบสิ่งของหรือธนบัตร ซึ่งในระยะห่างเช่นนั้นพยานโจทก์ทั้งสองย่อมไม่ได้ยินการพูดคุยกัน ส่วนสายลับที่เป็นประจักษ์พยานโดยตรงโจทก์มิได้อ้างและนำสืบเป็นพยาน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองจึงมีข้อสงสัยนอกจากนี้เมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 10 เม็ด แตกต่างจากที่มีการตกลงซื้อขาย 30 เม็ด ทั้งมีจำนวนไม่มากนัก น้ำหนักสุทธิและปริมาณสารบริสุทธิ์ก็ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลำพังคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย รวมทั้งรับว่าใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางในการติดต่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการรับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 6, 7, 8, 15, 66, 102 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธว่ามิได้มีไว้เพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ริบเมทแอมเฟตามีน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน คำขอให้ริบเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 10 เม็ด น้ำหนัก 0.90 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.102 กรัม กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง เป็นของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกมาโนช และสิบตำรวจโทสุนันท์ เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนวันจับกุมประมาณ 1 สัปดาห์เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลยจึงรายงานผู้บังคับบัญชาแล้ววางแผนจับกุมโดยให้สายลับโทรศัพท์ติดต่อจำเลยตกลงซื้อขายเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด เป็นเงิน 7,200 บาท นัดส่งมอบที่ริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้ากรุงเทพมหานคร จากนั้นนำธนบัตรที่จะใช้ล่อซื้อไปถ่ายสำเนาไว้แล้วมอบให้สายลับนำไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย เมื่อซื้อขายเสร็จแล้วให้สายลับส่งสัญญาณด้วยการลูบผม พยานทั้งสองกับพวกจะเข้าไปตรวจค้นจับกุม เห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าก่อนมอบธนบัตรที่จะใช้ล่อซื้อให้แก่สายลับมีการเปลี่ยนแผนโดยตกลงกับสายลับใหม่ว่า หากสายลับพูดคุยกับจำเลยแล้วได้ความว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนมาจริง ให้ส่งสัญญาณด้วยการลูบผมโดยไม่มีการส่งมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่จำเลยนั้นมีเพียงร้อยตำรวจเอกมาโนชเบิกความยืนยันในข้อนี้ ซึ่งแตกต่างจากคำเบิกความของสิบตำรวจโทสุนันท์ที่ว่า มีการให้สายลับนำธนบัตรไปใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยซึ่งเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ทั้งยังขัดต่อเหตุผลที่ว่าเหตุใดสิบตำรวจโทสุนันท์จึงไม่ทราบถึงความข้อนี้ ส่วนแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6 ไม่ได้ระบุจุดที่พยานโจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ไปจอดซุ่มดูเหตุการณ์ และในข้อนี้พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างกัน โดยร้อยตำรวจเอกมาโนชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าซุ่มอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณไม่เกิน 50 เมตร ส่วนสิบตำรวจโทสุนันท์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ซุ่มอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 ถึง 15 เมตรทั้งการติดต่อระหว่างสายลับกับจำเลยมีแต่เพียงการพูดคุยกันเท่านั้นไม่มีการส่งมอบสิ่งของหรือธนบัตร ซึ่งในระยะห่างเช่นนั้นพยานโจทก์ทั้งสองย่อมไม่ได้ยินการพูดคุยกันส่วนสายลับที่เป็นประจักษ์พยานโดยตรงโจทก์มิได้อ้างและนำสืบเป็นพยาน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองจึงมีข้อสงสัย นอกจากนี้เมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 10 เม็ดแตกต่างจากที่มีการตกลงซื้อขาย 30 เม็ด ทั้งมีจำนวนไม่มากนัก น้ำหนักสุทธิและปริมาณสารบริสุทธิ์ก็ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลำพังคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย รวมทั้งรับว่าใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางในการติดต่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการรับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดซึ่งมีโทษเบากว่า ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่โจทก์ฎีกาว่าขั้นตอนที่ร้อยตำรวจเอกมาโนชตกลงกับสายลับใหม่นั้น สิบตำรวจโทสุนันท์อาจไม่อยู่ในเหตุการณ์ จึงอาจเบิกความแตกต่างกันบ้างแต่หาใช่สาระสำคัญไม่นั้น เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกมาโนชเบิกความยืนยันว่า ในการประชุมวางแผนจับกุมมีสิบตำรวจโทสุนันท์อยู่ด้วย โดยสายลับไม่ได้ร่วมประชุมวางแผน การที่ร้อยตำรวจเอกมาโนชวางแผนในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ไปบอกสายลับให้กระทำอีกอย่างหนึ่งโดยเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมวางแผนไม่ทราบด้วยนั้น ย่อมเป็นข้อพิรุธในสาระสำคัญทั้งการให้สายลับไปติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยโดยอ้างแต่เพียงว่า หากทราบว่าจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนมาด้วยให้ส่งสัญญาณได้ทันทีนั้น ผิดวิสัยของการล่อซื้อและอาจทำให้จำเลยไหวตัวได้ยิ่งกว่าการใช้เงินล่อซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจับกุมพยานโจทก์ทั้งสองทราบสถานที่นัดหมายส่งของล่วงหน้าแล้วสามารถเตรียมการสกัดจับจำเลยไว้ก่อนได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share