คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน เพื่อปรักปรำโจทก์ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายที่ลักเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารไป เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้ธนาคารหลงเชื่อว่าโจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจและเลิกจ้างโจทก์ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากการที่ต้องถูกเลิกจ้าง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าหลังเกิดเหตุธนาคารได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน คณะกรรมการมีความเห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจ และคณะกรรมการพิจารณาวินัยและอุทธรณ์ของธนาคารได้พิจารณาอีกชั้นหนึ่งแล้วมีมติเช่นเดียวกับคณะกรรมการสอบสวน โดยเสนอความเห็นให้เลิกจ้างโจทก์ รองประธานกรรมการบริหารของธนาคารจึงอนุมัติให้เลิกจ้างโจทก์แสดงว่าการที่ธนาคารเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากธนาคารรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการพิจารณาวินัยและอุทธรณ์ของธนาคารเอง หาได้เกี่ยวข้องกับคำให้การของจำเลยทั้งสี่ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนในสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้ต้องหาไม่ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะเหตุที่ถูกธนาคารเลิกจ้างจึงมิได้เกิดจากการที่จำเลยทั้งสี่ให้การต่อพนักงานสอบสวน
แม้จำเลยทั้งสี่จะให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนของธนาคารทำนองเดียวกับที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าจำเลยทั้งสี่ทำละเมิดต่อโจทก์โดยให้การเท็จต่อคณะกรรมการสอบสวนของธนาคารอันเป็นการให้การคนละกรณีกัน จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาถึงเพราะเป็นเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ต้องถูกธนาคารเลิกจ้างมาเพียงอย่างเดียวเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าค่าเสียหายตามคำฟ้องมิได้เป็นผลของการที่จำเลยทั้งสี่ให้การต่อพนักงานสอบสวนกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นความเท็จหรือไม่และไม่อาจถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำละเมิดของจำเลยทั้งสี่ เป็นเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคหนึ่ง ไม่จำต้องพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์มีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคสอง จึงไม่ขาดอายุความ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสี่ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสี่ทำงานอยู่ที่ฝ่ายบริการโอนและแลกเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๗ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา มีการตรวจสอบพบว่าเงินหายไป ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาธนาคารได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ หลังจากนั้นธนาคารมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ฟ้องธนาคารต่อศาลแรงงานกลาง แต่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด สำหรับคดีอาญาโจทก์ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง สำหรับปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยทั้งสี่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๕ ถึง จ. ๗ เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่… พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน เพื่อปรักปรำโจทก์ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายที่ลักเงิน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไป เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้ธนาคารหลงเชื่อว่าโจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจและเลิกจ้างโจทก์ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากการที่ต้องถูกเลิกจ้าง แต่ทางพิจารณาได้ความตามคำเบิกความของนายไชยพร ตันเจริญทรัพย์ พยานจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการตรวจสอบของธนาคาร ประกอบกับสำเนาหนังสือของธนาคารมีถึงโจทก์ฉบับลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๗ แจ้งการเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย จ. ๒ ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๘๖๑/๒๕๓๙ ของศาลแรงงานกลางว่า หลังเกิดเหตุธนาคารได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน คณะกรรมการมีความเห็นว่า โจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจและคณะกรรมการพิจารณาวินัยและอุทธรณ์ของธนาคารได้พิจารณาอีกชั้นหนึ่งแล้วมีมติเช่นเดียวกับคณะกรรมการสอบสวน โดยเสนอความเห็นให้เลิกจ้างโจทก์ รองประธานกรรมการบริหารของธนาคารจึงอนุมัติให้เลิกจ้างโจทก์ แสดงว่าการที่ธนาคารเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากธนาคารรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการพิจารณาวินัยและอุทธรณ์ของธนาคารเอง หาได้เกี่ยวข้องกับคำให้การของจำเลยทั้งสี่ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนในสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้ต้องหาไม่ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะเหตุที่ถูกธนาคารเลิกจ้างจึงมิได้เกิดจากการที่จำเลยทั้งสี่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๕ ถึง จ. ๗ ดังจะเห็นได้จากการที่ธนาคารแจ้งการเลิกจ้างให้โจทก์ทราบตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๗ ก่อนที่พนักงานอัยการจะแจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์ในคดีอาญาให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ตามเอกสารหมาย จ. ๘ เป็นเวลาถึง ๘ เดือนเศษ ดังนี้ แม้จำเลยทั้งสี่จะให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนของธนาคารทำนองเดียวกับที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๕ ถึง จ. ๗ ก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าจำเลยทั้งสี่ทำละเมิดต่อโจทก์โดยให้การเท็จต่อคณะกรรมการสอบสวนของธนาคารอันเป็นการให้การคนละกรณีกัน จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาถึงเพราะเป็นเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ต้องถูกธนาคารเลิกจ้างมาเพียงอย่างเดียวเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าค่าเสียหายตามคำฟ้องมิได้เป็นผลของการที่จำเลยทั้งสี่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๕ ถึง จ. ๗ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นความเท็จหรือไม่ตามที่โจทก์ฎีกา และไม่อาจถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตามคำฟ้องเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share