คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดยให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงวันฟังคำสั่งมาวางศาล ผู้ค้ำประกันนำที่ดินมาวางต่อศาลชั้นต้นและทำหนังสือค้ำประกันจำเลยโดยมีหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นประกันว่าถ้าจำเลยแพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใดผู้ค้ำประกันยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่นำมาวางไว้เป็นประกันได้ทันที ดังนี้ ความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันฉบับนี้จะสิ้นไปก็ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ หรือในระหว่างฎีกาได้มีการทำหนังสือค้ำประกันขึ้นใหม่

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ โดยให้จำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงวันฟังคำสั่งมาวางศาล ผู้ค้ำประกันนำที่ดินมีโฉนดมาวางต่อศาลชั้นต้นและทำหนังสือค้ำประกันจำเลยโดยมีหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นประกัน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกาศาลฎีกามีคำสั่งว่า ถ้าผู้ร้องหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้องแต่จำเลยไม่นำหลักประกันมาวางศาลตามระยะเวลาที่กำหนด ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยและผู้ค้ำประกันทราบคำบังคับและไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยและผู้ค้ำประกัน
นางประเสริฐศรี ปอประสิทธิ์หรือนิลมาก ผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องว่าผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันจำเลยในชั้นอุทธรณ์เท่านั้นเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยได้ยื่นฎีกาและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำเลยนำหลักประกันมาวางมิฉะนั้นให้ยกคำร้อง แต่จำเลยไม่นำหลักประกันมาวาง ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันตั้งแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำเลยนำหลักทรัพย์มาวาง จึงขอให้ศาลชั้นต้นคืนโฉนดที่ดินที่วางไว้คืนแก่ผู้ค้ำประกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และให้ออกหมายบังคับคดีแก่ผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ค้ำประกันฎีกาว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ต่อศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมมีผลบังคับใช้เฉพาะในชั้นอุทธรณ์ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 802/2517 นั้น ปรากฏข้อความตามหนังสือสัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำไว้ต่อศาลชั้นต้นว่า “ฯลฯ ข้าพเจ้านางประเสริฐศรีนิลมาก นายประกัน… ขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อศาลนี้ว่า ถ้าจำเลยในคดีนี้แพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ข้าพเจ้ายอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ข้าพเจ้าได้นำมาวางให้ไว้เป็นประกันต่อศาลได้ทันที ฯลฯ” ดังนั้น เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระแม้จำเลยจะฎีกาและศาลฎีกาได้พิพากษายืนเช่นนี้ ผู้ค้ำประกันจึงยังต้องรับผิดตามข้อความในหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวอยู่ความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันฉบับนี้จะสิ้นไปก็ต่อเมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ศาลใดศาลหนึ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ หรือในระหว่างฎีกาได้มีการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันขึ้นใหม่ คำพิพากษาฎีกาที่ผู้ค้ำประกันอ้าง เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของผู้ค้ำประกันจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ค้ำประกันฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share