คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทราบแล้วว่าไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ยังคงครอบครองปลูกต้นส้มต่อไป ย่อมเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เพราะทำให้กลายเป็นสวนส้ม ไม่เป็นป่าตามสภาพเดิม จำเลยไม่ได้สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่เกิดเหตุได้ตาม ป.อ. มาตรา 62 จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 และมาตรา 31 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2543 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2547 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์โดยการปลูกต้นส้มในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขากระยาง คิดเป็นเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา อันเป็นการทำลายป่า และทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลหนองกะท้าว อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 4, 6, 14, 31, 35 และสั่งให้จำเลยคนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง จำคุก 3 ปี และปรับ 150,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี และปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังไม่เกิน 1 ปี ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง (ที่ถูก มีผู้แทนด้วย) และบริวารของจำเลยออกจากที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยเข้าไปยึดถือครองครองทำประโยชน์โดยการปลูกต้นส้มในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โดยจำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่เกิดเหตุบิดานายโสภณ ทำประโยชน์มาก่อน เมื่อปี 2524 บิดานายโสภณยกที่ดินที่เกิดเหตุให้แก่นายโสภณเข้าทำประโยชน์ตลอดมา นายโสภณปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าวไร และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ปี 2528 เรื่อยมาจนกระทั่งปี 2543 นายโสภณขายที่ดินบางส่วนให้แก่จำเลย ที่ดินส่วนที่เหลือจากที่แบ่งขายให้จำเลยนั้นต่อมาทางราชการออกหนังสือสำคัญสิทธิทำกิน (สทก.) ให้แก่นายโสภณมีกำหนดเวลาประมาณ 4 ปี นายโสภณได้รับมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นเหตุให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่านายโสภณมีสิทธิทำกินในที่เกิดเหตุตามที่ทางราชการผ่อนผันให้ทำกินและนายโสภณได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่ทางราชการถูกต้องแล้ว ตลอดจนราษฎรในพื้นที่เกิดเหตุก็สามารถทำกินในที่ดินได้ นอกจากนี้กรมป่าไม้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 0710/6458 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2536 ส่งเสริมให้เกษตรกรทำกินและรวมกลุ่มกันในชุมชนปลูกไม้ผลยืนต้นอันเป็นการสร้างสภาพธรรมชาติให้ฟื้นคืนมาได้ กรณีเป็นความสำคัญผิดในสิทธิว่า จำเลยมีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่เกิดเหตุได้ จึงไม่มีความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก บัญญัติว่า “ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิดหรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี” แม้ข้อเท็จจริงฟังยุติได้แล้วว่า การกระทำของจำเลยมีองค์ประกอบความผิดครบถ้วน และไม่มีเหตุยกเว้นความรับผิดเลยก็ตาม แต่เรื่องความสำคัญผิดต้องพิจารณาตามความเข้าใจของผู้กระทำหรือจำเลยว่า จำเลยได้กระทำโดยเข้าใจข้อเท็จจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องวินิจฉัยความผิดหรือความรับผิดของจำเลยโดยสมมติเอาว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่จำเลยเข้าใจหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากพยานจำเลยที่นำสืบ จำเลยมีนายโสภณเบิกความว่า ขณะนายโสภณขายที่เกิดเหตุให้แก่จำเลยได้บอกให้จำเลยทราบว่าเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าหลังจากซื้อที่เกิดเหตุจำเลยเคยไปแสดงความจำนงขอเสียภาษีบำรุงท้องที่ แต่ผู้ใหญ่บ้านแจ้งว่ามีการยกเลิกแล้วเนื่องจากเสียภาษีไม่ได้แสดงว่าก่อนที่จำเลยจะซื้อที่ดินที่เกิดเหตุเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ซึ่งมีเนื้อที่มาก จำเลยต้องตรวจสอบและทราบแล้วว่า สภาพที่ดินเป็นหุบเขาลาดลงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ไม่อาจออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ และจำเลยซื้อในราคาถูกเพียงราคาไร่ละ 4,000 บาท เท่านั้น ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีปี 2541 ให้ผ่อนผันเฉพาะราษฎรที่ทำกินอยู่ก่อนปี 2541 ให้ทำกินต่อไปได้โดยไม่มีการจับกุม แต่ให้จับกุมนายทุนและผู้มีอิทธิพลที่เข้าไปกว้านซื้อที่ดินจากราษฎร กรณีของจำเลยจึงเข้าลักษณะเป็นนายทุนเข้าไปซื้อที่ดินที่เกิดเหตุ ทั้งจำเลยเป็นผู้มีความรู้ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ย่อมทราบดีว่ากรณีของจำเลยไม่ใช่ราษฎรที่ทำกินอยู่ก่อนปี 2541 แต่จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุต่อจากราษฎรที่ทำกินอยู่เดิม ย่อมไม่ได้รับการผ่อนผันการจับกุมและไม่มีการยกเว้นใดตามกฎหมาย ดังนี้ เมื่อตามข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบปรากฏว่า จำเลยทราบแล้วว่าไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ แต่ยังคงปลูกต้นส้มต่อไป ย่อมเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เพราะทำให้ที่ดินนั้นกลายเป็นสวนส้ม ไม่เป็นป่าตามสภาพเดิมพยานหลักฐานของจำเลยขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่เกิดเหตุได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 จึงมีความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share