แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานพร้อมยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และการให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าวโดยมีข้อความใส่ความโจทก์ว่า โจทก์กับพวกคุกคามข่มขู่จำเลยกับพยาน เป็นข้อความที่เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวกันต่อเนื่องด้วยเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยจะจัดส่งหนังสือร้องเรียนดังกล่าวไปให้บุคคล และคณะบุคคลต่างรายกันก็หาทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ การที่โจทก์แยกฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทในคดีก่อนต่อศาลแขวงดุสิตในเรื่องที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าว แล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทในคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นอีก เมื่อคดีของศาลแขวงดุสิตที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อน ศาลมีคำพิพากษาแล้ว แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาภายหลังศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาแล้ว แม้คดียังไม่ถึงที่สุดก็ถือได้ว่าศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5989/2550 และ 2031-2032/2551 ของศาลแขวงดุสิต และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1879/2550 ของศาลจังหวัดตราด
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 2 เดือน ให้นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 5989/2550 และ 2031-2032/2551 ของศาลแขวงดุสิต และคดีหมายเลขแดงที่ 1879/2550 ของศาลจังหวัดตราด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2031-2032/2551 ของศาลแขวงดุสิตหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยยื่นหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่างกัน มีเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อย่างแพร่หลาย ไม่ได้เป็นการกระทำในคราวเดียวกัน กรรมเดียวกัน ทั้งคดีของศาลแขวงดุสิตดังกล่าวคดียังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองพยานพร้อมยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ การให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลแก่ผู้สื่อข่าวโดยมีข้อความใส่ความโจทก์ว่า โจทก์กับพวกคุกคามข่มขู่จำเลยกับพยาน จึงเป็นข้อความที่เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวต่อเนื่องกัน ด้วยเจตนาเดียวกันคือ เพื่อยับยั้งไม่ให้แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันเนื่องมาจากจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาที่ศาลอาญาในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ทั้งเป็นการยื่นคำร้องขอต่อคณะบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน แม้จำเลยจะจัดส่งหนังสือร้องเรียนดังกล่าวไปให้บุคคลและคณะบุคคลต่างรายกันก็หาทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน การที่โจทก์แยกฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทในคดีก่อนต่อศาลแขวงดุสิตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2031-2032/2551 ในเรื่องจำเลยทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าว แล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทในคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นอีก เมื่อคดีของศาลแขวงดุสิตที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อน ศาลมีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาในวันที่ 19 มกราคม 2552 ภายหลังศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาแล้ว แม้คดียังไม่ถึงที่สุดก็ถือได้ว่าศาลแขวงดุสิตได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน