คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต และใช้สิทธิโดยมิชอบเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237(อ้างฎีกาที่ 1145/2495 และ 1138/2507)
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงว่า การจดทะเบียนโอนที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นไปโดยไม่สุจริต เป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่พิพาท ทั้งนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า อย่างน้อย จำเลยก็ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ไม่นอกฟ้องนอกประเด็น(อ้างฎีกาที่ 228/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ชำระราคาที่ดินแล้ว แต่จำเลยไม่ไปโอนทะเบียนให้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริต เป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะจะให้จดทะเบียนได้ก่อน และโจทก์ได้ครอบครองที่ดินอยู่จนบัดนี้ ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมและจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือให้จำเลยร่วมกันใช้ราคาที่ดิน

จำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินให้แก่โจทก์ ไม่เคยยินยอมให้จำเลยที่ 2 เอาไปขายให้จำเลยที่ 3 โจทก์ไม่ขวนขวายให้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์เสียปล่อยละเลยมาเกินสมควรโจทก์ควรฟ้องจำเลยที่ 2 หนังสือมอบอำนาจให้ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 3 นั้นปลอม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และได้จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยเพิ่งทราบว่ามีบ้านโจทก์อยู่ในที่ดินเมื่อซื้อแล้ว โจทก์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ไม่ได้ การที่โจทก์เข้าปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 3 เป็นการละเมิดทำให้จำเลยที่ 3 ต้องเสียหายเพราะใช้ที่พิพาทไม่ได้ โจทก์ต้องรับผิด จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ซื้อและครอบครองที่พิพาทโดยสุจริต จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยประมาทเลินเล่อและไม่สุจริต โจทก์ได้ปลูกบ้านและห้องแถวอยู่ก่อนจำเลยที่ 3 ไม่เป็นละเมิด จำเลยที่ 3 ไม่เสียหายฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทและครอบครองมาก่อนโดยสุจริตทั้งเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะได้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายได้ และโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ทำการเกินขอบอำนาจ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 3 ออกจากทะเบียนแล้วลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของโฉนดถ้าไม่อาจทำได้ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินค่าที่ดิน ค่าบ้าน ค่าห้องแถวและค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นแก่โจทก์

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการโอนโฉนดรายพิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 3 ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต และใช้สิทธิโดยมิชอบ เป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ดังนัยฎีกาที่ 1145/2495 และ 1138/2507 ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลล่างวินิจฉัยให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายของจำเลยที่ 3 โดยศาลชั้นต้นสั่งโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ก็ดี และที่ศาลอุทธรณ์สั่งโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ก็ดี ล้วนเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน และไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ดังที่จำเลยอ้างก็ตาม แต่ตามฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายข้อเท็จจริงไว้ครบถ้วนแล้วว่า การจดทะเบียนโอนที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นไปโดยไม่สุจริต เป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้และได้มีคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่พิพาทไว้แล้วด้วย ทั้งนี้ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า อย่างน้อยก็เป็นการที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่นอกฟ้องนอกประเด็น ดังนัยฎีกาที่ 228/2506 และค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้น เป็นจำนวนที่สมควรแล้ว

พิพากษายืน

Share