แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ฝ่ายหนึ่งมีมีด ฝ่ายหนึ่งมีไม้เข้าทำร้ายกันโดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะถูกตรงไหนเพราะไม่มีไต้ไฟเช่นนี้ ถึงแม้ว่าบาดแผลที่ 1 และบาดแผลที่ 4 ของผู้ตายจะรุนแรงมาก รูปคดียังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยใช้ไม้ด้ามเสียมติหัวนายหนูถึงกะโหลกศีรษะแตกและคอหักตายเหตุเกิดที่ตำบลบ้านหอย อำเภอประจันทคามจังหวัดปราจีนบุรี และขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249ของกลางริบ
จำเลยรับว่าทำร้ายผู้ตายจริงเนื่องจากวิวาทโดยผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุ มีมีดเป็นศาตราวุธเข้าทำร้ายจำเลยมีบาดแผลเหมือนกัน จำเลยทำไปโดยบรรดาลโทษะไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 15 ปี ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม มาตรา 249 ประมวลกฎหมายอาญา ลดรับสารภาพตามมาตรา 59 กึ่งเหลือจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดเพียงฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม มาตรา 251 จำคุก 6 ปี ลดกึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 เหลือ 3 ปี ไม้ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบเป็นทำนองว่าจำเลยทำร้ายนายหนูโดยป้องกันตัว แต่ตามคำนายสุพินในชั้นสอบสวนว่าจำเลยได้ตอบ “งั้นก็ตีกันซิ” จึงต่างคว้ามีดไม้เข้าทำร้ายกันเป็นเรื่องวิวาทไม่ใช่ป้องกันดังศาลล่างทั้งสองชี้ขาดมา ข้อโต้เถียงมีว่าขณะทำร้ายกันมีแสงตะเกียงและแสงไฟในเตาหรือไม่ และเมื่อนายบุญช่วยวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุนั้นจำเลยยังทำร้ายนายหนูอยู่หรือว่าวิ่งหนีไปแล้ว ปรากฏตามคำนายสุพินในชั้นสอบสวนว่าได้ลงมือต้มเหล้าตั้งแต่เวลา 18 น.เศษ จนถึงเวลาเกิดเหตุประมาณ 5 ชั่วโมงซึ่งนานอยู่ นายสุพินให้การว่าเต็มถังไปบ้าน 1 เที่ยวแล้วกลับมาจึงได้ยืนนายหนูกับจำเลยโต้เถียงกัน ฉะนั้นไฟในเตาอาจเหลือแต่ถ่านดังจำเลยนำสืบก็ได้ ข้อว่าตะเกียงกระป๋องติดหรือดับก็มีขวดหรือไหแตกเป็นเครื่องประกอบว่าได้มีการต่อสู้กัน ฉะนั้นตะเกียงอาจดับดังคำพยานจำเลยก็ได้ ข้อที่นางบุญช่วยว่าอยู่บ้านได้ยินเสียง “ปุปะ ๆ ” เข้าใจว่านายหนูถูกตีวิ่งมาดู ยังเห็นจำเลยตีนายหนูอีก 1 ทีก็ไม่วายสงสัย เพราะนางบุญช่วยว่าบ้านอยู่ห่างที่เกิดเหตุ 2 เส้นเศษ ฝ่ายจำเลยว่า 3 เส้นเศษ ลงมือทำร้ายกันแล้วนางบุญช่วยจึงวิ่งมา ระยะทาง 2 เส้นเศษไม่ใช่ใกล้ กว่านางบุญช่วยจะวิ่งมาถึงจำเลยก็น่าจะตีและวิ่งหนีไปแล้ว แม้วันเกิดเหตุจะเป็นวันขึ้น 11 ค่ำ ที่เกิดเหตุก็อยู่ในสวน ทั้งนางบุญช่วยไม่ยืนยันว่าเห็นด้วยแสงเดือน ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำร้ายนายหนูโดยไม่มีแสงสว่างให้เห็นได้ถนัดชัดแจ้งดังศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมา แม้แผลที่ 1 กับแผลที่ 4 ของนายหนูจะรุนแรงมาก การที่ฝ่ายหนึ่งมีมีดฝ่ายหนึ่งมีไม้ เข้าทำร้ายกันโดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะถูกตรงไหนเพราะไม่มีไต้ไฟเช่นนี้รูปคดียังไม่พอจะฟังว่าเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา ดังศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นให้ยกฎีกาโจทก์เสีย