คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ที่กล่าวว่า ‘จะนำสืบการใช้เงินได้’ หาได้บัญญัติบังคับเฉพาะเจาะจงเฉพาะนำสืบการใช้ต้นเงินทั้งหมดไม่ ดังนั้น ถ้ามีการชำระต้นเงินเพียงบางส่วน ผู้ยืมจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น และหากมีการชำระต้นเงินทั้งหมด ผู้ยืมจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๘ กู้เงินโจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาจะชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามกฎหมายและจะชดใช้คืนภายในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๒ โดยจำเลยที่ ๒ ค้ำประกัน จำเลยได้รับเงินกู้ไปแล้วไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อทนายโจทก์ทวงถาม จำเลยได้ชำระหนี้ให้ ๓๐,๐๐๐ บาท แล้วขอลดหย่อนหนี้ แต่โจทก์ไม่ยินยอม จำเลยทั้งสองจึงต้องชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ถึงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๒๕ เป็นเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาทหักเงินที่ชำระแล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท คงค้างดอกเบี้ย ๘๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยจากวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๒๕ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๒๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๘๑,๒๕๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินของโจทก์ตามฟ้องโดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน จำเลยได้ชำระดอกเบี้ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ถึง ๒๕๒๑ เป็นจำนวนปีละ ๒๔,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์แล้ว และยังได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอีกคือ พ.ศ. ๒๕๒๑ ต้นเงิน ๔,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๒๒ ต้นเงิน ๓๕,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ย ๑๙,๓๒๐ บาท พ.ศ. ๒๕๒๓ ต้นเงิน ๑๑,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ย ๑๔,๔๒๐ บาท พ.ศ. ๒๕๒๔ ดอกเบี้ย ๑๐,๐๐๐ บาท พ.ศ. ๒๕๒๕ ต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยคงค้างชำระต้นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท การที่โจทก์ฟ้องเรียกต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และคิดดอกเบี้ยร้อยละสองต่อเดือน เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์ โดยให้หักเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ได้รับชำระแล้วเป็นค่าดอกเบี้ยก่อน ถ้าเงินจำนวนนี้ล้ำจำนวนดอกเบี้ยแล้วจึงให้หักใช้ต้นเงินต่อไป ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ ๑ ข้อแรกว่าการใช้ต้นเงินที่กู้ยืมเพียงบางส่วนนั้นต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติ มาตรา ๖๕๓ วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง บัญญัติว่า ‘ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว’ จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า บทบัญญัติมาตรานี้หมายถึงการใช้เงินกู้ทั้งหมดหาใช่เป็นกรณีที่มีการผ่อนชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนไม่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีข้อความว่า ‘หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว’ จำเลยที่ ๑ จึงนำสืบการชำระหนี้เงินกู้บางส่วนแก่โจทก์ด้วยเอกสารอื่นและพยานบุคคลได้ ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวที่ว่า ‘จะนำสืบการใช้เงินได้’ หาได้บัญญัติบังคับเฉพาะจะนำสืบการใช้ต้นเงินทั้งหมดดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาไม่ ดังนั้นถ้ามีการชำระต้นเงินเพียงบางส่วน ผู้ยืมจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นและหากมีการชำระต้นเงินทั้งหมด ผู้ยืมจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น
ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยซึ่งจำเลยฎีกาโต้เถียงว่าไม่เคยค้างชำระนั้นศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ ๑ รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว
พิพากษายืน.

Share