คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีกล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดเอาดินถมปิดลำเหมืองของโจทก์ ซึ่งตั้งอยู่ในป่าไม่มีเจ้าของ มิได้ฟ้องว่าลำเหมืองอยู่ในที่ดินของจำเลย และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ กระทำการกลบลำเหมืองอันเป็นภารจำยอม เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้ทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองโดยอายุความหาได้ไม่ เพราะนอกประเด็นในคำฟ้อง
เมื่อฟ้องของโจทก์มิได้อ้างสิทธิ ว่าโจทก์ได้ทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาท ก็ต้องถือว่าโจทก์มิได้เป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาท จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ลำเหมืองพิพาทตั้งอยู่ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 กลบลำเหมืองพิพาทเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ บทบัญญัติ มาตรา 1337 หาลบล้างสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในอันที่จะใช้สิทธิของตนตามมาตรา 1336 ไม่
กรณีที่จะเป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 นั้น จะต้องเป็นการแกล้งโดยผู้กระทำมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นถ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาแห่งสิทธินั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาโดยซื้อจากนายเกิ่งนาของโจทก์อยู่ติดต่อกับนาของจำเลยทางด้านเหนือ และนาของโจทก์ต้องอาศัยน้ำจากคลองเหมืองท่าไฮ โดยมีลำเหมืองซอยระบายน้ำสู่นาของโจทก์ปี 2508 จำเลยได้ใช้รถไถบุกเบิกนาของจำเลยเมื่อไถมาถึงที่ป่าไม่มีเจ้าของติดกับลำเหมืองของโจทก์ จำเลยได้เอาดินที่ไถนั้นถมลำเหมืองโจทก์ ทำให้น้ำในเหมืองท่าไฮไม่ไหลสู่นาของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายไม่มีน้ำใช้ทำนาขอให้บังคับจำเลยเปิดลำเหมืองนี้ให้โจทก์ตามสภาพเดิม ถ้าไม่ทำให้โจทก์ทำโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของนา และไม่ได้ทำนา จำเลยซื้อนาจากนายคำมุง ไม่มีลำเหมืองผ่านนาของจำเลยไปสู่นาของโจทก์

คู่ความตกลงกับให้เจ้าพนักงานศาลไปทำแผนที่พิพาท ซึ่งรับรองกันว่าถูกต้องและคู่ความรับกันว่าที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดกันลำเหมืองพิพาทที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยถมนั้นอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลำเหมืองพิพาทอยู่ในนาของจำเลย มิใช่ลำเหมืองสาธารณะ จำเลยย่อมมีสิทธิถมได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายใสและนายคำมุงเจ้าของนาเดิมได้ช่วยกันขุดลำเหมืองพิพาทนี้เพื่อชักน้ำเข้านา และต่างร่วมกันใช้น้ำในเหมืองทำนาของตนตลอดมา ต่อมาต่างได้ขายนาให้คนอื่น ผู้รับซื้อนาย่อมสืบสิทธิแทนเจ้าของเดิม การที่จำเลยได้รับซื้อนาแปลงนี้จากนายคำมุง และถมดินกลบเหมืองนี้โดยพลการเป็นเหตุให้น้ำไม่ไหลเข้านาโจทก์ โจทก์ทำนาไม่ได้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และ 1337พิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย และให้ขุดลำเหมืองพิพาทคืนคงสภาพเดิม มิฉะนั้นให้โจทก์จัดการเองได้โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีกล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดเอาดินถมปิดลำเหมืองของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในป่าซึ่งไม่มีเจ้าของ มิใช่ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์กลบลำเหมืองพิพาทอันเป็นภารจำยอม เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 เพราะฟ้องขาดองค์ประกอบอันเป็นสารสำคัญโดยมิได้บรรยายว่า ลำเหมืองพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลย ศาลจึงจะวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาทโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387, 1401 มิได้เพราะจะเป็นการวินิจฉัยประเด็นนอกคำฟ้องของโจทก์

ข้อเท็จจริงได้ความว่า นาของโจทก์จำเลยอยู่ติดกัน เจ้าของนาเดิมก่อนโจทก์จำเลยได้ร่วมกันขุดลำเหมืองพิพาทในที่ดินของจำเลยชักน้ำจากลำเหมืองท่าไฮมาใช้ในการทำนาของทั้งสองฝ่าย ครั้นที่นาตกมาเป็นของจำเลย จำเลยกลับถมดินกลบลำเหมืองพิพาทนี้เสีย เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีน้ำทำนา

มีปัญหาว่าจำเลยจะมีสิทธิถมดินกลบลำเหมืองพิพาทได้หรือไม่

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 และ 1337 เทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ 1083/2494 ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้รูปคดีหาเหมือนกับคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวไม่ เพราะคดีนั้นโจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องจำเลยอ้างว่าลำเหมืองพิพาทเป็นภารจำยอมเมื่อโจทก์ได้ทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาท กรณีก็ต้องด้วยมาตรา 1390 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิถมลำเหมืองพิพาท กรณีก็ต้องด้วยมาตรา 1390 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิถมลำเหมืองพิพาท อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์ ไม่อาจชักน้ำเข้านาของโจทก์ได้ ส่วนกรณีจะเป็นละเมิดตามมาตรา 421 นั้น จะต้องเป็นการแกล้งโดยผู้กระทำมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นถ่ายเดียวแต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาแห่งสิทธินั้น แม้จำเลยผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้าง ก็ไม่เป็นละเมิด ดังเช่นในคดีนี้เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิเลยว่า โจทก์ได้ทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาทแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์มิได้เป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธิภารจำยอมในลำเหมืองพิพาทเลย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ลำเหมืองพิพาทตั้งอยู่ย่อมมีสิทธิใช้สอยและขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิกลบลำเหมืองพิพาทซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินของจำเลยเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไปจะนำมาตรา 1337 มาลบล้างสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 1336 ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหาได้ไม่

พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share