แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งบางส่วนและศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย โดยให้โจทก์ชำระเท่ากับจำนวนค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างชนะคดีตามฟ้องและฟ้องแย้งบางส่วน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหาย จึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมา ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษา ทั้งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243(1)
คดีของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน230,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาขอให้ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงเป็นเงินจำนวน 230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีถึงวันฟ้อง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์652,999.16 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าเป็นเงิน 636,174 บาท จากโจทก์ จำเลยไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่จำเลยได้รับสินค้าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 16,825.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น652,999.16 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 636,174 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าไม่ตรงตามตัวอย่าง ชำรุดบกพร่องไม่ได้มาตราฐาน จำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ไขแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนแต่โจทก์เพิกเฉยทำให้จำเลยเสียหายรวมค่าเสียหาย 260,000 บาท จำเลยขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เดือนสิงหาคม 2540 จนถึงวันฟ้อง เป็นดอกเบี้ย 9,750 บาท รวมเป็นเงิน 269,750 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 260,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ชำระค่าโกดังสินค้าเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าคืนไปจากจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าตรงตามตัวอย่างที่ตกลงซื้อขายกันและได้วางบิลเรียกเก็บเงินแล้วจำเลยได้นัดชำระเงินโดยไม่ทักท้วงว่าสินค้ามีความชำรุดบกพร่องภายในเวลาอันควร จึงไม่อาจอ้างเหตุความชำรุดบกพร่องมาปฏิเสธไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 127,924บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับกับให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนจากจำเลย และให้ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน 230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งบางส่วน ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยต่างชนะคดีตามฟ้องและฟ้องแย้งบางส่วน เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ชนะคดีเต็มตามฟ้องศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ลดค่าเสียหายในส่วนนี้ โดยให้โจทก์ชำระเท่ากับจำนวนค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์คือ 127,924 บาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหายจึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมา ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ทั้งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 243(1)
อนึ่งคดีของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน230,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาขอให้ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงเป็นเงินจำนวน 230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้อง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ 652,999.16 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย