แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยจัดหาสถานที่รับฝากสินค้าให้โจทก์ในประเทศสหราชอาณาจักรและเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าจากโจทก์ในนามของจำเลยนั้น มิใช่เป็นการงานที่จำเลยทำให้เปล่าในฐานะที่จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์และตัวแทนของบริษัท อ. แต่จำเลยและบริษัทดังกล่าวมีผลประโยชน์ร่วมกันในการรับฝากสินค้าของโจทก์ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นตัวการร่วมกันในการรับฝากสินค้าที่สูญหายจากโจทก์โดยมีบำเหน็จค่าฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 และมาตรา 659 วรรคสอง และเนื่องจากสินค้าได้สูญหายเพราะถูกคนร้ายลักเอาไป ทำให้การส่งคืนสินค้าแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยซึ่งเกิดจากจำเลยกับพวกไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อรักษาสินค้าของโจทก์ในฐานะเป็นผู้มีวิชาชีพในกิจการค้าขายของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสาม จำเลยต้องรับผิดชอบในการสูญหายของสินค้าต่อโจทก์
เมื่อสินค้าได้สูญหายไปอันเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามราคาของสินค้าที่โจทก์ซื้อมาพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่สินค้านั้นสูญหายไป โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นเวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
โจทก์ประกอบธุรกิจขายสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่และโจทก์ได้สั่งซื้อสินค้าที่สูญหายมาเพื่อขายหากำไรในประเทศไทย จำเลยย่อมทราบดีเพราะจำเลยได้ติดต่อทำธุรกิจรับจัดการขนส่งสินค้าให้แก่โจทก์มาเป็นเวลานานหลายปี การที่สินค้าของโจทก์สูญหายไปจำเลยควรจะคาดเห็นว่าโจทก์จะต้องได้รับความเสียหายในส่วนที่เป็นค่าขาดกำไรจากการขายสินค้าดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสอง เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยแต่โจทก์นำสืบพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงความเสียหายอันแท้จริงไม่ได้ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯ ชอบที่จะกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี
หนี้ค่าระวางการขนส่งสินค้าตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นหนี้เงิน เมื่อโจทก์ไม่ได้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่จำเลย โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง โจทก์จะนำหนี้ค่าระวางการขนส่งสินค้าที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยมาขอหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายนับแต่วันที่สินค้าของโจทก์สูญหายไปหาได้ไม่ เพราะหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจำเลยยังมีข้อต่อสู้อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344
เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้กำหนดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดกำไรจากการขายสินค้าที่สูญหายที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนแน่นอนแล้วและโจทก์จะต้องรับผิดชำระหนี้ค่าระวางการขนส่งสินค้าแก่จำเลย เพื่อความสะดวกในการบังคับคดีจึงให้นำหนี้ทั้งสองจำนวนมาหักกลบลบกันได้โดยให้มีผลในวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้
จำเลยได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระค่าระวางการขนส่งสินค้าแก่จำเลย 2 จำนวนพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2541 และวันที่ 18 เมษายน 2541 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้แต่ละจำนวน เมื่อคิดระยะเวลานับแต่วันครบกำหนดชำระหนี้แต่ละจำนวนจนถึงวันฟ้องแย้งจะเป็นระยะเวลา 8 เดือน 19 วันกับ 7 เดือน 16 วัน แต่จำเลยขอคิดระยะเวลาที่จะนำมาคำนวณดอกเบี้ยช่วงก่อนฟ้องเพียง 8 เดือนและ7 เดือน ที่ศาลล่างพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ตามฟ้องแย้งโดยคิดดอกเบี้ยในต้นเงินจำนวนแรกนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2541 และในต้นเงินจำนวนที่ 2 นับแต่วันที่ 18 เมษายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นการเกินคำขอในส่วนที่เป็นระยะเวลาคิดดอกเบี้ยช่วงก่อนฟ้องแย้งจึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาฯ ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล 1800 รุ่น พีซีเอ็น 780จำนวน 15,000 เครื่อง รวมเป็นเงินจำนวน 3,225,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัทโมโตโรล่า อิงค์. ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ภายในเดือนมิถุนายน 2540 โจทก์จึงว่าจ้างจำเลยและจำเลยตกลงให้บริการรับจัดส่งสินค้าที่โจทก์สั่งซื้อมาส่งมอบให้แก่โจทก์ในประเทศไทย ต่อมาบริษัทโมโตโรล่า อิงค์. ได้ให้โรงงานในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีผลิตสินค้าดังกล่าวจำนวน 9,000 เครื่อง และให้โรงงานในเมืองอีสเตอร์อินซ์ (Easter Inch) ประเทศสหราชอาณาจักร ผลิตสินค้าดังกล่าวจำนวน 6,000 เครื่อง ทั้งนี้จากประเพณีปฏิบัติในการให้บริการของจำเลยที่ผ่านมา จำเลยมีหน้าที่รับสินค้าของโจทก์จากโรงงานดังกล่าวส่งไปยังสถานที่เก็บสินค้าของจำเลยใน 2 ประเทศดังกล่าว เพื่อดำเนินการบรรจุหีบห่อ แล้วส่งมอบให้สายการบินขนส่งมามอบให้แก่โจทก์ในประเทศไทยโดยจำเลยตกลงคิดค่าบำเหน็จและค่าตอบแทนรวมทั้งค่าบริการอื่น ๆ จากโจทก์ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2540 จำเลยได้จัดส่งสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนที่ผลิตในเมืองฮัมบูร์กให้แก่โจทก์ครบถ้วน และโจทก์ได้ชำระเงินค่าบริการส่วนนี้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วเช่นกัน ในระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม 2540 จำเลยได้ไปรับสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่จากโรงงานของผู้ผลิตในเมืองอีสเตอร์อินช์จำนวน 6,000 เครื่อง แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ที่โกดังเก็บสินค้าของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบริษัทในเครือข่ายเดียวกับบริษัทจำเลยโดยจำเลยคิดค่าฝากสินค้าในอัตรากิโลกรัมละ 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อระยะเวลา 45 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2540 และค่าฝากสินค้าในอัตรากิโลกรัมละ 0.0075 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อระยะเวลา 45 วัน เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 กำหนดชำระเงินโดยเฉลี่ยภายใน 45 วัน นับจากวันที่จำเลยเรียกเก็บเงินค่าฝากสินค้า จำเลยได้ทยอยจัดส่งสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่มาส่งมอบให้แก่โจทก์เรื่อยมา ต่อมาจำเลยได้แจ้งแก่โจทก์ว่า สินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เหลืออยู่จำนวน 2,944 เครื่อง ซึ่งเก็บอยู่ในโกดังเก็บสินค้าของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ได้สูญหายไปจำนวน 2,704 เครื่อง ทั้งนี้จำเลยซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษารับผิดชอบสินค้าเพื่อนำมาส่งมอบให้แก่โจทก์ได้กระทำหรือละเว้นกระทำการโดยประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ของผู้มีวิชาชีพทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินค้าที่สูญหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงวันฟ้องเป็นเงินอีกจำนวน 21,502.35 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 602,862.35 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ วันก่อนหน้าวันฟ้อง 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 39.70 บาท จึงรวมเป็นเงินไทยจำนวน 23,933,635.29 บาท และจำเลยยังต้องรับผิดชำระค่าขาดกำไรจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 18,301,239.84 บาท แก่โจทก์ จำเลยได้จัดส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เหลือจำนวน 240 เครื่องแก่โจทก์ครบถ้วน แล้วจำเลยส่งใบเรียกเก็บเงินค่าฝากสินค้าในประเทศสหราชอาณาจักรสำหรับระยะเวลาระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 ให้แก่โจทก์ แต่การที่จำเลยทำให้สินค้าของโจทก์สูญหาย จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินค่าฝากสินค้าจากโจทก์ โจทก์จึงขอหักกลบลบหนี้เฉพาะค่าระวางการขนส่งสินค้าที่จำเลยเรียกเก็บจำนวน 588,150.20 บาท กับเงินค่าขาดกำไรจากการจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 18,301,239.84 บาท คงเหลือค่าเสียหายในส่วนค่าขาดกำไรที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 17,713,089.64 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน602,862.35 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน581,360 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดกำไรอีกจำนวน 17,713,089.64 บาท แก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้อยู่ในฐานะของผู้รับฝากสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามคำฟ้อง จำเลยเป็นแต่เพียงผู้รับจัดการขนส่งสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือเฟรตฟอร์เวิร์ดเดอร์เท่านั้น เนื่องจากสัญญาซื้อขายสินค้าดังกล่าวกำหนดเงื่อนไขราคาแบบเอกซ์เวิร์กส (Ex Works) กล่าวคือโจทก์ในฐานะผู้ซื้อมีหน้าที่ไปรับมอบสินค้าจากบริษัทผู้ขาย ณ โรงงานหรือโรงพักสินค้าของผู้ขายตามแต่จะกำหนด ดังนั้น จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์จะต้องไปรับมอบสินค้านั้นจากผู้ขาย ณ โรงงานหรือโรงพักสินค้าตามที่ผู้ขายจะกำหนด จากนั้นจำเลยจะจัดให้มีการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับคดีนี้หลังจากจำเลยรับมอบสินค้าจากผู้ขายแล้ว จำเลยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้ช่วยจัดหาโกดังเก็บสินค้าเพื่อเก็บรักษาสินค้านั้นไว้ก่อน จำเลยจึงติดต่อบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ในประเทศสหราชอาณาจักรให้ดำเนินการดังกล่าวซึ่งโจทก์ก็ทราบดีเพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือยอมรับบำเหน็จค่าฝากทรัพย์ และจำเลยมิได้มีผลประโยชน์หรือนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์-เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ทั้งบริษัทดังกล่าวก็มิได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้มีอำนาจใด ๆ ในบริษัทจำเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นมิได้เป็นผลมาจากความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของจำเลยหรืออยู่ในความรู้เห็นของจำเลย เพราะสินค้าดังกล่าวถูกลักไปขณะเก็บรักษาไว้ที่โกดังเก็บสินค้าของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด อันถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ผู้รับฝากทรัพย์ไม่อาจจะป้องกันได้ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลย การที่โจทก์นำเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าตามใบเรียกเก็บเงินของจำเลยรวมจำนวน 588,150.20 บาท มาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าเสียหายจากการขาดกำไรของโจทก์นั้นถือว่าเป็นการใช้สิทธิที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ยังคงมีหน้าที่ชำระเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าจำนวน 216,689.56 บาท และจำนวน 371,460.64บาท ตามลำดับ ให้แก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยเนื่องจากการผิดนัดอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน นับแต่วันครบกำหนดชำระเงิน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 34,670.33 บาท และจำนวน 52,004.49 บาท ตามลำดับ รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวนทั้งสิ้น 674,825.02 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 674,825.02 บาท แก่จำเลย พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยรับสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สูญหายมาแล้วแต่ไม่สามารถส่งมอบให้แก่โจทก์ได้ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์และโจทก์มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเอาหนี้ค่าขาดกำไรที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์จำนวน 18,301,239.84 บาท มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ค่าระวางขนส่งสินค้าจำนวน 588,150.20บาท ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยได้ จำเลยไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน เพราะดอกเบี้ยดังกล่าวจำเลยกำหนดขึ้นเองฝ่ายเดียวโดยโจทก์ไม่เคยตกลงหรือยินยอมด้วยและมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า จำเลยมีฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ในการติดต่อหาสถานที่รับฝากสินค้าพิพาทของโจทก์และจำเลยได้ดำเนินการดังกล่าวภายในขอบอำนาจของตัวแทน จึงไม่ต้องรับผิดชอบในการที่สินค้าของโจทก์สูญหาย รวมทั้งไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าขาดกำไรตามคำฟ้องเมื่อจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์ในการที่จะต้องชำระค่าเสียหายตามคำฟ้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยมาหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายตามฟ้องได้ โจทก์ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าตามฟ้องแย้งแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 45 วัน ตามวันที่ปรากฏในใบเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.96 และ จ.97 คือวันที่ 15 มีนาคม 2541 และวันที่ 18 เมษายน 2541 ตามลำดับ พิพากษายกฟ้อง และให้บังคับตามฟ้องแย้งจำเลยโดยให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 588,150.20 บาท แก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 216,689.56 บาท นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2541 และในต้นเงินจำนวน 371,460.64 บาท นับแต่วันที่ 18 เมษายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้องแย้ง (วันที่ 4 ธันวาคม 2541) ต้องไม่เกินจำนวน 34,670.33 บาท และ 52,004.49 บาท ตามลำดับ (ตามที่จำเลยขอ)
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยเป็นตัวการรับฝากสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์ซึ่งสูญหายไปโดยมีค่าบำเหน็จตามที่โจทก์ฟ้องหรือเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์เท่านั้น โจทก์มีนายพฤษภ์ เกรียงศักดานุกูล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจบริษัทโจทก์เป็นพยานโดยยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและมาเบิกความประกอบว่า หลังจากจำเลยรับสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่จากโรงงานของบริษัทผู้ขายในเมืองอีสเตอร์อินซ์ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม 2540 แล้ว สินค้าดังกล่าวได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในโกดังเก็บสินค้าที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสหราชอาณาจักร ตลอดมา ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2540 นายเจมส์ เพ็ญสิริวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทจำเลยได้ส่งโทรสารถึงนายเกรียงฤทธิ์หรือหลุยส์ เก่งลือชัยบุตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ขอแจ้งอัตราค่าเก็บรักษาสินค้าในโกดังเก็บสินค้าที่ประเทศสหราชอาณาจักรว่าจะคิดอัตราใหม่เป็นกิโลกรัมละ 0.0075 ดอลลาร์สหรัฐ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 กำหนดชำระโดยเฉลี่ยภายใน 45 วัน นับแต่วันที่จำเลยเรียกเก็บเงินตามโทรสารเอกสารหมาย จ.85 ซึ่งโจทก์ตกลงด้วย สำหรับสินค้าที่จำเลยรับจากโรงงานผู้ผลิตในเมืองอีสเตอร์อินช์จำนวน 6,000 เครื่อง และจำเลยได้ให้บริการจัดเก็บไว้ที่โกดังเก็บสินค้าในเมืองกลาสโกว์นั้น จำเลยได้ทยอยจัดส่งสินค้ามาส่งมอบให้แก่โจทก์เมื่อต้นปี2541 และจำเลยได้ทยอยเรียกเก็บเงินค่ารักษาสินค้าจากโจทก์ระหว่างเดือนมิถุนายน 2540 ถึงเดือนมกราคม 2541 ซึ่งโจทก์ก็ได้ชำระแก่จำเลยแล้วตามใบเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าและใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.86 ถึง จ.89 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 จำเลยได้ส่งโทรสารถึงโจทก์ แจ้งเรื่องการส่งใบเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้า และวันที่17 มกราคม 2541 จำเลยได้ส่งโทรสารถึงโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ให้บริการจัดเก็บสินค้าของโจทก์ในเมืองชิคาโกและเมืองกลาสโกว์และขอคำยืนยันจากโจทก์ว่าจะให้เก็บรักษาสินค้าของโจทก์ไว้ที่เมืองกลาสโกว์มีระยะเวลานานอีกเท่าใด เพราะถ้าโจทก์จะให้จัดเก็บสินค้าเป็นระยะเวลานาน จำเลยจะจัดหาโกดังเก็บสินค้าให้ใหม่ ซึ่งจะต้องทำสัญญาคลังสินค้ากันต่างหาก (a seperate warehouse agreement) ตามโทรสารเอกสารหมาย จ.90 และ จ.91 เมื่อโจทก์ได้รับโทรสารดังกล่าว โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยเก็บรักษาสินค้าของโจทก์ที่เมืองกลาสโกว์อีกต่อไป จึงแจ้งให้จำเลยจัดการขนส่งสินค้าของโจทก์มายังประเทศไทยตามจดหมายไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) เอกสารหมาย จ.92 ซึ่งจำเลยได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าของโจทก์ที่เก็บรักษาอยู่ในโกดังเก็บสินค้าที่เมืองกลาสโกว์มาให้โจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2541 จนถึงเดือนมีนาคม 2541 จำนวน3,056 เครื่อง ตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.93 ถึง จ.95 และจำเลยได้เรียกเก็บเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าจากโจทก์ตามใบเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.96 ถึง จ.100 ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2541 ฝ่ายจำเลยได้ส่งโทรสารแจ้งให้โจทก์ทราบว่าสินค้าของโจทก์ส่วนที่เหลือซึ่งเก็บรักษาอยู่ ณ โกดังเก็บสินค้าที่เมืองกลาสโกว์ได้สูญหายไปจำนวน2,704 เครื่อง เมื่อระหว่างวันที่ 3 ถึง 4 เมษายน 2541 ตามโทรสารเอกสารหมาย จ.102 โดยโจทก์มีนายเกรียงฤทธิ์หรือหลุยส์ เก่งลือชัยบุตร อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ นางวรรณี วรสินธพ ผู้จัดการอาวุโสแผนกนำเข้าและส่งออกบริษัทโจทก์ นางสุปรีดาเกตุประจักษ์ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการเงินบริษัทโจทก์กับนางสาวดวงพร ศรีจันทร์วงศ์ เจ้าหน้าที่ธุรการอาวุโสฝ่ายการเงินบริษัทโจทก์เป็นพยานยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและเบิกความสนับสนุนถ้อยคำของนายเกรียงศักดิ์ดังกล่าว ฝ่ายจำเลยมีนายไว แลป ฟุง ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทจำเลยเป็นพยานยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและเบิกความประกอบว่าโจทก์เพียงแต่ตกลงให้จำเลยเป็นผู้รับจัดการขนส่งสินค้า (เฟรตฟอร์เวิร์ดเดอร์) โดยจัดหาผู้ขนส่งสินค้ามายังประเทศไทยแทนโจทก์เพื่อส่งมอบให้แก่โจทก์เท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติโจทก์จะเป็นผู้แจ้งให้จำเลยทราบถึงเวลารับมอบสินค้าและสถานที่ที่รับมอบสินค้า เมื่อจำเลยรับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว จำเลยก็จะเข้าดำเนินการในงานนั้น ๆ แต่จำเลยไม่จำเป็นต้องดำเนินการด้วยตัวเอง โดยจำเลยสามารถมอบหมายให้บุคคลที่จำเลยไว้วางใจหรือมีความคุ้นเคยรับจัดการแทนจำเลยได้ ซึ่งในคดีนี้จำเลยก็ได้แจ้งให้บริษัทที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับบริษัทจำเลยและมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ประเทศที่ตั้งของโรงงานผลิตสินค้าเป็นผู้ดำเนินการไปรับมอบสินค้าแทนโจทก์โดยผ่านจำเลย และในการจัดการขนส่งสินค้าให้แก่โจทก์ จำเลยจะติดต่อกับผู้ขนส่งสินค้าที่ต้นทาง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ต้นทางคือบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ได้รับแจ้งจากจำเลยให้ไปรับสินค้านั้นที่โรงงานของบริษัทผู้ขายแล้วนำมาเก็บไว้ที่โกดังเก็บสินค้าของตนชั่วคราว อันเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมาเพื่อรอคำสั่งจากโจทก์ให้ส่งสินค้าดังกล่าวมาให้แก่โจทก์ที่กรุงเทพมหานคร แต่ปลายเดือนเดียวกันจำเลยได้รับคำสั่งจากโจทก์ให้จัดการหาสถานที่เก็บรักษาสินค้าของโจทก์ไว้ที่ประเทศสหราชอาณาจักรก่อน เนื่องจากสินค้าของโจทก์ค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก โจทก์ยังมีคำสั่งให้จำเลยแจ้งไปยังเจ้าของโกดังเก็บสินค้าของโจทก์ทั้งที่เมืองชิคาโก เมืองกลาสโกว์และเมืองฮัมบูร์ก ให้เก็บรักษาสินค้าของโจทก์ไว้ต่อไปพร้อมทั้งให้แจ้งเสนออัตราหรือราคาค่าเก็บรักษาสินค้าแก่โจทก์ด้วย ดังนั้นจำเลยจึงได้แจ้งให้บริษัทเจ้าของโกดังเก็บสินค้าเสนออัตราเก็บรักษาสินค้าแก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์ ทั้งนี้โดยจำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องเก็บหรือรับฝากสินค้าของโจทก์เพราะหน้าที่ของจำเลยมีเพียงจัดให้มีการขนส่งสินค้ามาส่งมอบให้แก่โจทก์เท่านั้น อีกทั้งจำเลยก็ไม่มีโกดังเก็บสินค้าที่ต่างประเทศด้วย เมื่อจำเลยได้รับแจ้งอัตราค่าเก็บรักษาสินค้าแล้วก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โดยจำเลยไม่มีอำนาจใด ๆ ในการตัดสินใจ แต่โจทก์ไม่ยอมรับข้อเสนอและได้มีคำสั่งให้จำเลยต่อรองกับบริษัทเจ้าของโกดังเก็บสินค้าในเรื่องระยะเวลาปลอดการเรียกเก็บค่ารักษาสินค้าและค่าเก็บรักษาสินค้ารวมทั้งวันที่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงนำข้อต่อรองของโจทก์ไปเสนอให้บริษัทเจ้าของโกดังเก็บสินค้าทราบ ผลปรากฏว่าบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ตกลงรับข้อเสนอของโจทก์และแจ้งให้จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ทราบ จำเลยจึงได้ส่งโทรสารเอกสารหมาย จ.84 แจ้งให้โจทก์ทราบ เมื่อโจทก์ตกลงยอมรับอัตราค่าเก็บรักษาสินค้าที่เมืองกลาสโกว์แล้ว สินค้าของโจทก์จึงถูกเก็บรักษาไว้ที่โกดังเก็บสินค้าในเมืองกลาสโกว์ของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ตามที่โจทก์ตกลง ทั้งนี้โดยจำเลยเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ในการดำเนินการดังกล่าวสินค้าของโจทก์จึงถูกฝากเก็บไว้ที่โกดังเก็บสินค้าดังกล่าวตามข้อตกลงฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(ยูเค) จำกัด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใด ๆ เกี่ยวกับการเก็บรักษาสินค้าในส่วนนี้ต่อโจทก์ ส่วนการเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าจำเลยเป็นแต่เพียงผู้ประสานงาน และเหตุที่บริษัทผู้ให้บริการเก็บรักษาสินค้าของโจทก์ไม่ส่งใบเรียกเก็บเงินไปยังโจทก์โดยตรงเพราะไม่สามารถออกใบเรียกเก็บเงินซึ่งเรียกเก็บเป็นเงินสกุลบาทได้ จึงจำเป็นต้องส่งใบเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าเป็นสกุลเงินต่างประเทศมายังจำเลยก่อน เมื่อจำเลยได้รับชำระเงินค่าเก็บรักษาสินค้าแล้ว จำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งเงินนั้นให้แก่บริษัทผู้ให้บริการเก็บรักษาสินค้าจนครบตามจำนวนที่ถูกเรียกเก็บมาโดยวิธีการตัดบัญชี โดยจำเลยมีนางสาวเสาวรินทร์ นิมมานพฤติ พนักงานฝ่ายปฏิบัติการนำเข้าสินค้าบริษัทจำเลยนางสาวชัฏมา ชัยนภาศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินบริษัทจำเลยเป็นพยานยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและเบิกความประกอบกับจำเลยได้ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายเจมส์ เพ็ญศิริวงศ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นพยานเพื่อสนับสนุนถ้อยคำของนายไว แลปฟุง ดังกล่าว เห็นว่า ในการประกอบธุรกิจของจำเลยนอกจากจำเลยจะมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการรับขนส่งสินค้าจากต่างประเทศมายังในประเทศไทยและจากประเทศไทยไปยังต่างประเทศแล้ว จำเลยยังมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการเก็บรักษาสินค้าดังกล่าวด้วยโดยจำเลยได้จดทะเบียนวัตถุประสงค์ดังกล่าวของจำเลยไว้ต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนเอกสารหมาย จ.3 ในข้อ 26 แต่ในการประกอบธุรกิจกับโจทก์ตามทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพนักงานบริษัทจำเลยไปปฏิบัติงานประจำอยู่ที่ประเทศสหราชอาณาจักรและประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีโดยตรง คงได้ความว่าจำเลยได้มอบหมายให้พนักงานบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์สอินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ในประเทศสหราชอาณาจักรและบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์สอินเตอร์เนชั่นแนล จีเอ็มบีเอช ในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นผู้ดำเนินการแทนทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่าในการขนส่งสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์มายังประเทศไทยตามใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.15 ถึง จ.22 ล้วนแต่ระบุชื่อผู้ออกใบตราส่งทางอากาศว่าคือ บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล จีเอ็มบีเอช แห่งประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีทั้งสิ้น ส่วนใบตราส่งทางอากาศเอกสารหมาย จ.93 ถึง จ.95ก็ล้วนแต่ระบุชื่อผู้ออกใบตราส่งทางอากาศว่าคือ บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์-เนชั่นแนล และระบุชื่อผู้ขนส่งหรือตัวแทนที่ออกเอกสารว่าคือ บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด แห่งประเทศสหราชอาณาจักร แต่ในใบเรียกเก็บเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ตามใบเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.23 ถึงจ.27 จ.31 จ.34 จ.39 ถึง จ.43 และ จ.50 นั้นกลับระบุว่าจำเลยเป็นผู้เรียกเก็บเงินในนามของจำเลยเองทั้งสิ้นและในการฟ้องแย้งเรียกเงินค่าระวางการขนส่งสินค้าที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยจำเลยก็ฟ้องในนามของจำเลยเอง เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับจำเลยและบริษัทผู้ให้บริการสำหรับกิจการดังกล่าวต่างก็เป็นบริษัทอยู่ในเครือข่ายเดียวกันด้วยแล้ว ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยและบริษัทในเครือข่ายดังกล่าวได้ประกอบธุรกิจรับจัดการขนส่งสินค้าของโจทก์โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันมาแต่ต้น สำหรับสินค้าของโจทก์ที่สูญหายไปนั้น โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่าก่อนเกิดเหตุโจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยโดยตรง ขอให้ช่วยเก็บรักษาสินค้าดังกล่าวไว้ที่ประเทศสหราชอาณาจักรก่อนซึ่งตามรูปเรื่องน่าเชื่อว่าจำเลยได้มอบหมายให้บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์-เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ไปรับสินค้าดังกล่าวจากโรงงานของบริษัทโมโตโรล่า อิงค์. ที่เมืองอีสเตอร์อินซ์ ประเทศสหราชอาณาจักรมาเก็บรักษาไว้ที่โกดังเก็บสินค้าของบริษัทเอ็กซ์ปิได-เตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ที่เมืองกลาสโกว์ อยู่ก่อนแล้ว และปรากฏว่านายเจมส์พนักงานบริษัทจำเลยได้ส่งโทรสารฉบับลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2540 ถึงนางวรรณีพนักงานบริษัทโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.83 เพื่อเสนอราคาค่าเก็บรักษาสินค้าโดยเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่า “โปรดดูข้อเสนอของทางเราเกี่ยวกับคลังเก็บสินค้า…” ซึ่งได้เสนอราคาค่าเก็บรักษาสินค้าในโกดังเก็บสินค้าที่เมืองชิคาโก คิดอัตราวันละ 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 กิโลกรัม ที่เมืองกลาสโกว์ คิดอัตราวันละ 0.05 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 กิโลกรัม และที่เมืองฮัมบูร์ก คิดอัตราวันละ 0.02 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 กิโลกรัมตามเอกสารดังกล่าวมิได้มีข้อความใดที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยเสนอราคาในฐานะเป็นเพียงตัวแทนของบริษัทผู้ให้บริการแต่อย่างใดและคำว่า “ทางเรา” ในเอกสารดังกล่าวน่าจะหมายถึงจำเลยและบริษัทในเครือข่ายดังกล่าว เมื่อฝ่ายโจทก์ขอต่อรองราคา ปรากฏว่าในเวลาต่อมานายเจมส์พนักงานบริษัทจำเลยก็ได้มีโทรสารฉบับลงวันที่ 2 มิถุนายน 2540 ถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.84 แจ้งลดอัตราค่าเก็บรักษาสินค้าที่เมืองชิคาโกและเมืองกลาสโกว์เหลือวันละ 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 กิโลกรัม และแจ้งว่าที่เมืองฮัมบูรก์ไม่มีอาคารหรือคลังสินค้าที่จะให้บริการได้ตามเอกสารดังกล่าวยังคงใช้คำว่า “เรา” ซึ่งน่าจะหมายถึงจำเลยและบริษัทต่าง ๆ ในเครือข่าย “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือในชื่อย่อว่า “อีไอ” นั่นเอง แม้จะปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ติดต่อกับจำเลยเรื่องอัตราค่าเก็บรักษาสินค้าโดยผ่านทางนายอัลเบิร์ต เวย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยตามข้อความที่ปรากฏในโทรสารของนายเจมส์เอกสารหมาย จ.85 และติดต่อผ่านนายเจมส์พนักงานบริษัทจำเลยตามโทรสารของนางวรรณีเอกสารหมาย ล.3 และบุคคลทั้งสองไม่สามารถตอบรับเงื่อนไขหรือข้อต่อรองของโจทก์ได้ทันทีตามที่จำเลยนำสืบก็ตาม ก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นเพราะฝ่ายจำเลยจะต้องสอบถามไปยังบริษัทในเครือข่ายดังกล่าวในฐานะเจ้าของโกดังเก็บสินค้าโดยตรงและปรึกษาหารือกันก่อนในฐานะที่จำเลยและบริษัทในเครือข่ายดังกล่าวเป็นผู้ร่วมประกอบธุรกิจโดยมีผลประโยชน์ร่วมกันก่อนที่จะยอมรับหรือปฏิเสธเงื่อนไขข้อต่อรองของโจทก์ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการประกอบธุรกิจการค้าร่วมกัน นอกจากนี้ตามโทรสารฉบับลงวันที่ 17 มกราคม 2541 เอกสารหมาย จ.91 ซึ่งฝ่ายจำเลยมีถึงโจทก์มีใจความว่า “สำหรับที่กลาสโกว์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้รับสินค้าเข้าในโกดังจำนวน 8 เที่ยว มีน้ำหนักโดยประมาณ 9.7 เมตริกตัน… เรายินดีจะยังคงให้บริการแก่ท่านในการจัดเก็บสินค้าในโกดังต่อไป แต่เราจำเป็นที่จะต้องได้รับคำยืนยันจากท่านว่าให้เก็บสินค้าไว้อีกนานเท่าใด ถ้าจะเก็บสินค้าโดยไม่มีกำหนดเวลา เราอาจจะต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อที่จะโอนสินค้าไปจัดเก็บไว้ในโกดังแบบมีเวลานานซึ่งจะตรงกับความประสงค์ของท่านมากกว่า ถ้าท่านเลือกทางออกนี้ เราจะต้องจัดทำสัญญาคลังสินค้าลงนามระหว่าง “เอ็กปิไดเตอร์ส” และ “ยูคอม” (หมายถึงโจทก์) แยกต่างหากอีกฉบับหนึ่ง…” ตามข้อความดังกล่าว คำว่า “เรา” ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า น่าจะหมายถึงจำเลยและบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ส่วนคำว่า “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส” ก็น่าจะหมายถึง จำเลยหรือบริษัทในเครือข่ายเดียวกัน ซึ่งจะเป็นผู้ลงชื่อเป็นคู่สัญญาในหนังสือสัญญาฝากทรัพย์กับโจทก์ต่อไป ทั้งนี้ เพราะตามเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยมีถึงโจทก์ แม้ก่อนเปลี่ยนชื่อ จำเลยจะใช้ชื่อว่าบริษัท อีไอ เฟรทฟอร์เวิร์ดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด แต่จำเลยก็จะระบุชื่อ “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล” ไว้คู่กับชื่อของจำเลยที่หัวกระดาษเสมอ เช่น ในโทรสารเอกสารหมาย จ.83 ถึง จ.85 เป็นต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือข่าย “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล” ตามโทรสารเอกสารหมาย จ.83 และ จ.84 ดังกล่าว ไม่มีข้อความใดที่สื่อความหมายให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้ติดต่อกับโจทก์เรื่องการเก็บรักษาสินค้าดังกล่าวในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์หรือเป็นตัวแทนของบริษัทเจ้าของโกดังเก็บสินค้าแต่อย่างใด หากจำเลยเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องใช้ข้อความในโทรสารเช่นนั้น และการที่จำเลยไม่มีโกดังเก็บสินค้าในต่างประเทศเป็นของตนเองก็หาได้หมายความว่าจำเลยจะประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่ได้เพราะจำเลยอาจร่วมประกอบธุรกิจดังกล่าวกับบริษัทเครือข่ายในต่างประเทศที่มีโกดังเก็บสินค้า หรือจำเลยเช่าโกดังเก็บสินค้าจากผู้อื่นเพื่อดำเนินธุรกิจของจำเลยได้ นอกจากนี้โจทก์ยังนำสืบฟังได้อีกว่าเมื่อสินค้าของโจทก์ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่โกดังเก็บสินค้าของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ได้สูญหายไปแล้ว นายเอริน เอ็ม. โทมัสสัน กรรมการบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ออฟ วอชิงตัน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทต่าง ๆ ในเครือข่าย “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส” ได้มีหนังสือถึงโจทก์ว่า “เรา” มีความเสียใจเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและขอจำกัดความรับผิดในสินค้าที่สูญหายกิโลกรัมละ 2.69 ดอลลาร์สหรัฐ ตามโทรสารเอกสารหมาย จ.102 โดยโทรสารฉบับดังกล่าวได้ระบุชื่อจำเลยและคำว่า “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส” ไว้ที่หัวกระดาษด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยและบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัดจะต้องมีความเกี่ยวข้องกันในการประกอบธุรกิจรับฝากสินค้ารายนี้อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากจำเลยเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ในการติดต่อหาสถานที่เก็บรักษาสินค้าให้โจทก์นายเอริน เอ็ม. โทมัสสัน ก็ไม่น่าจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องและระบุชื่อจำเลยไว้ในเอกสารฉบับดังกล่าว ทั้งโทรสารฉบับดังกล่าวยังอาจทำให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องเข้าใจได้ว่านายเอรินเอ็ม. โทมัสสัน กรรมการบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ออฟ วอชิงตัน อิงค์.มีโทรสารดังกล่าวถึงโจทก์แทนจำเลยอีกด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏว่าคู่ความนำสืบรับกันอีกว่าในการเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าของโจทก์ดังกล่าว จำเลยได้ส่งใบเรียกเก็บเงินให้โจทก์ในนามของจำเลยโดยเรียกเก็บเป็นสกุลเงินบาท กับออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ในนามของจำเลยเองทั้งสิ้น ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.47 จ.48 และ ล.2 ทั้ง ๆ ที่บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ส่งใบเรียกเก็บเงินถึงจำเลยโดยเรียกเก็บเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ตามเอกสารหมาย ล.1 หากจำเลยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในฐานะผู้ร่วมประกอบการในกิจการนี้ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะยอมออกใบเสร็จรับเงินให้ในนามของจำเลยเองเช่นนั้น เพราะจะเป็นรายได้ของจำเลยซึ่งจำเลยจะต้องรับภาระในด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลและต้องเสี่ยงต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหากต้องส่งเงินนั้นต่อให้บริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด ด้วย แม้คดีนี้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นได้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยได้รับผลประโยชน์จากกิจการนี้อย่างไรบ้าง ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ภายในของบริษัทเครือข่าย “เอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล” ด้วยกัน หากเป็นความลับในเรื่องธุรกิจการค้าที่รู้กันเฉพาะบริษัทในเครือข่ายด้วยกันก็เป็นการยากที่บุคคลภายนอกจะล่วงรู้ได้และตามทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าในการรับฝากสินค้าดังกล่าวจำเลยได้เคยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ในการติดต่อหาสถานที่เก็บสินค้าให้โจทก์และจำเลยเรียกเก็บเงินจากโจทก์ในฐานะตัวแทนของบริษัทผู้รับฝากสินค้าแต่อย่างใด พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมานี้มีเหตุผลเพียงพอให้รับฟังได้ว่า การที่จำเลยจัดการหาสถานที่รับฝากสินค้าให้โจทก์ในประเทศสหราชอาณาจักรและเรียกเก็บเงินค่าเก็บรักษาสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ในนามของจำเลยนั้น มิใช่เป็นการงานที่จำเลยทำให้เปล่าในฐานะที่จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์และตัวแทนของบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ยูเค) จำกัด แต่จำเลยและบริษัทเอ็กซ์ปิไดเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล(ยูเค) จำกัด มีผลประโยชน์ร่วมกันในการรับฝากสินค้าของโจทก์ จึงถือได้ว่าจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นตัวการร่วมกันในการรับฝากสินค้าที่สูญหายจากโจทก์ โดยมีบ