แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในอดีตฆาตกรรมนั้นไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะกระทำผิดเสมอไป พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีอันมั่นคงก็เพียงพอรับฟังมาลงโทษจำเลยได้
ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 รายงานแจ้งเหตุวิสามัญฆาตกรรมโดยอ้างว่าจำเลยทั้ง 5 ยิงต่อสู้กับผู้ร้าย 5-6 คนในตอนกลางคืนซึ่งไม่ใช่ความจริง เป็นการปั้นเรื่องขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนการฆ่าผู้ตาย เพียงเท่านี้เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้ตายในตอนใดเสียเลยแล้วเช่นนี้ ศาลจะฟังแต่เพียงถ้อยคำอันไม่ใช่ความจริงของจำเลยเองมาลงโทษจำเลยในคดีเรื่องฆ่าคนตายอันมีโทษอุกฤฎ์โดยไม่มีพยานโจทก์ยืนยันความผิดของจำเลยไม่ได้ ถือว่าโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยเหล่านี้ทำผิด
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้ง ๕ คนรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธร กิ่งอำเภอเขาไชยสนจังหวัดพัทลุง จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับราชการประจำสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอเขาไชยสน จังหวัดพัทลุง จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ รับราชการประจำสถานีตำรวจภูรจังหวัดพัทลุง ได้สมคบกันฆ่านายผอม แสงทอง ถึงแก่ความตายโดยเจตนา เหตุเกิดตำบลตำนาน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๒๔๙-๖๓
นายทิม แสงทอง และนางพร้อม แสงทอง บิดาและภรรยาของนายผอมขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลอนุญาต
จำเลยทั้ง ๔ ปฏิเสธข้อหา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยทั้ง ๕ ได้สมคบกันยิงนายผอมตายจริงดังข้อหา จึงลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.๒๔๙ จำคุกจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ซึ่งเป็นต้นเรื่องก่อให้เกิดเหตุคดีนี้ขึ้น มีกำหนดคนละ ๒๐ ปี จำเลยที่ ๑,๒,๓ คนละ ๑๕ปี
จำเลยทั้ง ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง ๕ ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายผอมผู้ตาย อยู่บ้านตำบลดอนมะพร้าม อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ก่อนนี้เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ระหว่าง ๑ ปีเศษ ก่อนเกิดเหตุเรื่องนี้มีคดีพัวพันอยู่หลายเรื่องแต่หลักฐานไม่พอพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง ถูกฟ้องหาว่ายิงนายผลลูกพี่ลูกน้องของจำเลยที่ ๔ แต่ศาลพิพากษาปล่อย ต่อมาถูกหาว่าฆ่านายพลอยตาย จำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภรรยานายพลอยได้ไปทำการจับกุมตัวนายผอม จากบ้านพร้อมกับนาย+ ปลัดอำเภอ จับจำเลยที่ ๔ ได้ ชักปืนจะยิงตายผอม แต่นายพันปลัดอำเภอห้ามเอาไว้ คดีรเรื่องนั้นได้ฟ้องศาลและศาลพิพากษาปล่อยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังถูกหาในเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง
ก่อนเกิดเหตุ เรื่องนี้ ๗-๘ เดือน นายผอมได้ออกจากบ้านไปหางานทำทางจังหวัดนราธิวาส จากบ้านไปนานวัน ทางราชการเลยสั่งปลดจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน นายผอมกลับมาเยี่ยมบ้านรวม ๓ คราว ครั้งสุดท้ายมาค้างอยู่ ๓ วัน แล้วออกจากบ้านไปเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๙๔ เวลา ๙.๐๐ น ว่าจะไปค้างตำบลหารโพธิ์สัก ๑ คืน ต่อมาวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๙๔ ตอนเช้าปรากฎว่านายผอมถูกยิงนอนตายอยู่ข้างทางรถไฟหน้าวัดร้างบ้านวังนนท์ ตำบลตำนาน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง โดยจำเลยทั้ง ๕ คนนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจยืนยันว่าเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๙๔ เวลาประมาณ ๓.๐๐ น ได้ตรวจท้องที่ไปด้วยกันและพบคน ๕-๖ คนเดินมา ได้ร้องทักถามไปและบอกว่าเป็นตำรวจคนเหล่านั้นกลับใช้ปืนยิงก่อน จึงได้เกิดต่อสู้ยิงกันทั้งสองฝ่ายประมาณ ๒-๓ นาทีคนเหล่านั้นหนีหายไป คงปรากฎว่าเหลือนอนตายอยู่ ๑ คน คือนายผอมคนนี้ มีปืนสั้นตกอยู่ที่นั้น ๑ กระบอก เจ้าพนักงานได้ออกไปทำการชัณสูตรพลิกศพและสอบสวนเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม ฝ่ายนายทิมบิดานายผอมได้ร้องทุกข์กล่าวหาว่าตำรวจจับนายผอมไปจากบนรถไฟแล้วเอาไปยิงทิ้ง สำนวนการสอบสวนส่งมายังกรมอัยการอธิบดีกรมอัยการสั่งให้สอบสวนหลักฐานเพิ่มเติม และในที่สุดสั่งให้ฟ้องจำเลยทั้ง ๕ เป็นคดีเรื่องนี้
บาดแผลของนายผอมปรากฎตามรายงานการชัณสูตรพลิกศพว่าถูกกระสุนปืนที่หน้าอก ๑ แผล ทลุออกทางด้านหลังถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้น
โจทก์นำสืบว่าวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๔๙๔ ตอนบ่ายนายผอมขึ้นรถไฟที่สถานีบ้านต้นโดนเพื่อโดยสารรถไฟไปทางใต้ ระหว่างที่รถไฟแล่นไป จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ไม่ได้แต่งเครื่องแบบได้โดยสารรถไฟกระบวนนั้นไปด้วยและได้ไปแจ้งต่อพลตำรวจผาสุขซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟสายกันตัง – สงขลา ว่านายผอมเป็นคนร้ายต้องหาว่าฆ่าคนตายขอให้จับกุม และแสดงหมายจับตัวนายผอมให้ดูด้วย พลตำรวจผาสุขรู้จักจำเลยทั้ง ๒ ว่าเป็นตำรวจประจำกองกำกับจังหวัดพัทลุง จึงย้อนถามว่าทำไมไม่จับเองจำเลยที่ ๔ ว่าไม่กล้า เพราะคนร้ายมีปืน พลตำรวจผาสุขให้จำเลยไปชี้ตัวให้ แล้วก็เข้าจับกุมตัวนายผอมใส่กุญแจมือสอบถามได้ความว่าชื่อนายผอม แสงทอง ตรงตามที่จำเลยที่ ๔ แจ้งไว้ ตรวจค้นได้ปืนพกยี่ห้อ เอฟ.เอ็น ในกระเป๋าเสื้อผ้าของนายผอม ๑ กระบอกมีประสุนบรรจุพร้อม พอดีรถไฟถึงสถานี้เขาไชยสน เป็นเวลา ๑๕.๐๐ น. เศษ จึงพาตัวนายผอมลงจากรถไป และพลตำรวจผาสุขได้เขียนบันทึกในสมุดพกประจำตัวว่า “๒๒ ธ.ค.๙๔ ” ได้รับตัวผู้ต้องหาชื่อนายผอม แสงทอง พร้อมด้วยปืนขนาด ๖.๓๕ ๑ กระบอก ” ให้จำเลยที่ ๔ เซ็นชื่อเป็นผู้รับ พลตำรวจผาสุขเซ็นชื่อเป็นผู้มอบ ขณะนั้นจำเลยที่ ๕ ก็อยู่ด้วย พร้อมกับจำเลยที่ ๔ ต่อจากนั้นจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ จะเอาตัวนายผอมไปที่ไหนทำอย่างไร ไม่มีพยานปรากฎ คงปรากฎเอาในตอนเช้าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๙๔ ว่านายผอมถูกยิงตาย โดยจำเลยทั้ง ๕ หาว่าเป็นคนร้ายยิงต่อสู้กับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เมื่อเวลา ๓.๐๐ น. ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้น
อนึ่ง เมื่อเจ้าพนักงานมอบศพนายผอมให้นายทิม นางพร้อมไปจัดการปลงศพตามประเพณี ปรากฎว่าแผลถูกยิงรอบเข้าทางไหปลาร้าขวาทลุออกชายโครงซ้ายตรงเอว ริมฝีปากล่างแตก ฟันหน้าหัก ปากปลิ้น พยานโจทก์เข้าใจว่าถูกตีและหัวเข้ามีรอยถลอกเลือดออก
สำหรับตัวจำเลยที่ ๔และที่ ๕ ข้อเท็จจริงได้ความแน่ชัดว่า โดยสารรถไฟไปด้วกัน ได้พากันเข้าไปหาพลตำรวจผาสุขเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมรถไฟขบวนนั้น จำเลยที่ ๔ ขอให้ไปจับตัวนายผอมให้โดยอ้างว่าเป็นคนร้ายต้องหาเรื่องฆ่าคนตายตามหมายจับ พลตำรวจผาสุขจึงไปจับกุมตัวนายผอมใส่กุญแจมือ เมื่อถึงสถานี้เขาไชยสนเป็นเวลา ๑๕.๐๐ น.เศษ ก็ได้พาตัวลงจากรถไฟและมอบตัวนายผอมให้จำเลยทั้ง ๒ นี้ไป จำเลยทั้ง ๒ คนนี้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เมื่อได้รับมอบตัวผู้ต้องหาไว้แล้วก็มีหน้าที่ต้องนำไปส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อไป แต่มิได้ปรากฎว่าจำเลยทั้ง ๒ ได้พาตัวนายผอมไปส่งพนักงานเจ้าหน้าที่คนใดเลย แม้ทางสถานีตำรวจภูธร+เขาไชยสนหรือสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง นายผอมหมดความเป็นอิสสระภาพแก่คน เพราะถูกจับใส่กุญแจโดยจำเลยทั้ง ๒ เป็นคนควบคุมตัวในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเช่นนี้ จำเลยทั้ง ๒ ก็มีหน้าที่จะต้องคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่เขาด้วยตามสมควร มิใช่จับตัวไปแล้วจะเอาไปทำอะไรเสียก็ได้ตามอำเภอใจ เมื่อปรากฎว่าในคืนวันนั้นเองนายผอมถูกทำร้ายและถูกยิงตายในระหว่างทางระหว่างสถานีกิ่งเขาไชยสนกับสถานีพัทลุง โดยจำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธสิ้นเชิงในเรื่องการจับกุมตัวนายผอมและกลับปั้นเรื่องใหม่อันมิใช่ความจริงทั้งเรื่องอ้างว่าได้ยิงต่อสู้กับคนร้าย ๕ คนแล้วปรากฎว่าคนร้ายถูกยิงตายไปคนหนึ่งคือนายผอม ซึ่งความจริงนายผอมถูกจำเลยทั้ง ๒ ควบคุมเอาตัวมากุญแจที่ใส่ไว้ก็ไม่มีดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีไม่มีทางที่จะให้วินิจฉัยเป็นอื่นนอกจากจำเลยทั้ง ๒ ได้ควบคุมตัวนายผอมมาทำร้ายและยิงเสียในระหว่างทางแล้วจึงปั้นเรื่องขึ้นใหม่ให้เป็นเรื่องวิสามัญฆาตกรรม เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเท่านั้น
คดีสำหรับตัวจำเลยที่ ๑,๒,๓ โจทก์มีนางทองปากเดียวอ้างว่าเห็นตำรวจ ๔ คนยืนคุมตัวนายผอมอยู่ที่ชานชลาสถานี้เขาไชยสน พยานรู้จักจำเลยที่ ๕ คนเดียว และชี้ตัวจำเลยที่ ๒,๓ และที่ ๔ ด้วยรวมเป็น ๔ คนด้วยกัน แต่พยานยืนยันว่าจำเลยทั้ง ๔ คนแต่งเครื่องแบบทุกคนในขณะนั้น ซึ่งแตกต่างขัดกับถ้อยคำพยานโจทก์ปากอื่นเป็นอันมากเพราะพยานโจทก์ปากอื่นเช่นพลตำรวจผาสุขและนายไข่เบิกความยืนยันเฉพาะตัวจำเลยที่ ๔,๕ เท่านั้นที่เกี่ยวข้องในการจับกุมตัวนายผอมและรับมอบตัวไป ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๒,๓ อยู่ ณที่นั้นหรือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยประการใด และจำเลยที่ ๔ กับจำเลยที่ ๕ ก็มิได้แต่งเครื่องแบบด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การของนางทองปากนี้ให้การเกินความจริงมากไป จึงไม่รับฟังและมิได้วินิจฉัยถึงพยานปากนี้มาตั้งแต่ตอนต้นนั้นแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงไม่มีพยานแสดงเลยว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการจับกุมตัวนายผอมทั้งในตอนแรกหรือในตอนหลัง เมื่อจำเลยที่ ๔,๕ ได้รับมอบตัวมาจากพลตำรวจผาสุขแล้วก็ดี และไม่มีพยานแสดงว่าจำเลยที่ ๔,๕ ได้พาตัวนายผอมไปที่สถานีตำรวจกิ่งเขาไชยสนหรือพาไปที่แห่งใดหรือได้พาไปพบปะกับจำเลยที่ ๑,๒,๓ ณ ที่ใดหรือไม่ประการใด จำเลยทั้ง ๓ นี้นำสืบว่าได้ออกเดินทางจากสถานี้ตำรวจภูธรกิ่งเขาไชยสนไปแล้วตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. ก่อนการจับกุมตัวนายผอมที่บนรถไฟนั้นเสียอีก โจทก์คงมีพยานยืนยันเอาในตอนเช้าของวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๙๔ เท่านั้น ว่าจำเลยที่ ๑ ไปรายงานเหตุวิสามัญฆาตกรรมโดยอ้างว่าจำเลยทั้ง ๕ คนได้ยิงต่อสู้กับผู้ร้าย ๕-๖ คนในตอนกลางคืน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่าการกล่าวอ้างเรื่องวิสามัญฆาตกรรมของจำเลยทั้ง ๕ คนนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นการปั้นเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนความผิดในฐานฆ่าคนตายของจำเลยที่ ๔ ที่ ๕ เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอันใดยืนยันว่าจำเลยที่ ๑,๒,๓ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวนายผอมในตอนใดเสียเลยแล้วเช่นนี้ เรื่องก็อาจเป็นได้ว่าจำเลยที่ ๑,๒,๓ เป็นเพียงแต่รับสมอ้างเข้ามาช่วยเหลือจำเลยที่ ๔,๕ เพื่อให้เรื่องกลายเป็นวิสามัญฆาตกรรมขึ้นมาในภายหลังเมื่อจำเลยที่ ๔,๕ ได้กระทำผิดไปแล้วก็ได้ศาลจะฟังแต่เพียงถ้อยคำอันไม่ใช่ความจริงของจำเลยเองมาลงโทษจำเลยในคดีนี้โดยไม่มีพยานโจทก์ยืนยันความผิด ของจำเลยทั้ง ๓ นี้ เลยไม่ได้เอง กรณีของจำเลยทั้ง ๓ นี้แตกต่างกับการกระทำของจำเลยที่ ๔,๕ มากมาย ศาลฎีกาจึงเห็นว่า โจทก์ยังนำสืบความผิดของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่ได้ว่าได้สมคบกับจำเลยที่ ๔,๕ ในการฆาตกรรมรายนี้
เหตุฉนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นให้ยกฟ้องของโจทก์ปล่อยจำเลยทั้ง๓ คนนี้ไป นอกจากทีแก้ไขนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์