คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16136/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จากพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่พบเห็นผู้เสียหายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาเด็กหญิง ม. ซึ่งเคยเป็นคนรักของจำเลยที่ 2 มาซื้อของ จำเลยที่ 2 จึงขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปปาดหน้ารถของผู้เสียหายที่ 1 และใช้อาวุธมีดชี้หน้าบังคับให้หยุดรถ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ติดตามมาโดยมีคนร้ายนั่งซ้อนท้ายมาจอดในบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วคนร้ายใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 ทันที และหลบหนี้ไปด้วยกันย่อมบ่งชี้ชัดว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมสมคบกับพวกมาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับพวกในการใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 จริง แต่การที่พวกของจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 ที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แต่ก็ฟันเพียงครั้งเดียว ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ทันระวังตัว ไม่ได้ต่อสู้หรือมีผู้ใดขัดขวาง หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าพวกจำเลยที่ 2 ฟันผู้เสียหายที่ 1 ซ้ำอีก ทั้งบาดแผลที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับ มีความยาว 5 เซนติเมตร ไม่ลึกถึงกะโหลกศีรษะ สามารถรักษาได้ภายใน 7 ถึง 14 วัน แสดงว่าไม่ได้ฟันโดยแรง ทั้ง ๆ ที่เป็นอาวุธมีดขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ฟัน อันตรายต่อชีวิตได้โดยฟันครั้งเดียว พฤติการณ์แห่งคดีคงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น ไม่มีเจตนาฆ่า ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ผิดฐานพยายามฆ่า และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดย่อมได้รับประโยชน์ด้วย แม้คดีส่วนของจำเลยที่ 1 จะยุติแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 71/2556 ของศาลชั้นต้น โดยจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และคดีหมายเลขแดงที่ 71/2556 ของศาลชั้นต้นยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91, 288, 371 ริบอาวุธมีดดาบของกลาง และนับโทษหรือระยะเวลาควบคุมเพื่อฝึกอบรมของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีต่อเนื่องกัน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 มีอายุ 15 ปีเศษ จำเลยที่ 2 อายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยที่ 1 กระทำความผิดสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 50 บาท จำเลยที่ 1 กระทำความผิดสองกระทง รวมปรับ 100 บาท ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 50 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 100 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี และปรับ 50 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี และปรับ 50 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน และปรับ 25 บาท อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยทั้งสองให้ไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 6 จังหวัดนครสวรรค์ สำหรับจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี สำหรับจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา หากจำเลยอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาฝึกอบรม ให้ส่งจำเลยทั้งสองไปจำคุกในเรือนจำจังหวัดพิจิตรเท่ากับระยะเวลาฝึกอบรมที่เหลืออยู่ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับ ให้ส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 6 จังหวัดนครสวรรค์ มีกำหนดคนละ 1 วัน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาพยายามฆ่า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับคนร้ายใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ โจทก์มีพยานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 คือ ผู้เสียหายที่ 1 กับคำให้การในชั้นสอบสวนของเด็กหญิงมาลัย มานำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 2 ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันชัดเจนว่า จำเลยที่ 2 ถืออาวุธมีดปลายแหลม ตอนกลางโค้ง ยาวประมาณ 1 ไม้บรรทัด ขับรถจักรยานยนต์ปาดหน้าแล้วใช้อาวุธมีดชี้หน้าบังคับให้หยุดรถ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 หยุดรถกำลังพูดคุยกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มีคนร้ายนั่งซ้อนท้ายมาจอดในบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายเข้ามาใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 ทันที หลังจากนั้นก็ขับรถหลบหนีไปทางเดียวกัน สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของเด็กหญิงมาลัย ผู้เสียหายที่ 1 ไม่รู้จักจำเลยที่ 1 และคนร้ายที่ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 มาก่อน แต่พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 พบเห็นผู้เสียหายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พาเด็กหญิงมาลัย ซึ่งเคยเป็นคนรักของจำเลยที่ 2 มาซื้อของ ก็ถืออาวุธมีดขับรถติดตามไปปาดหน้า หลังจากนั้นพวกของจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ติดตามมาแล้วใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 ทันที และหลบหนีไปด้วยกัน ย่อมบ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมสมคบกันมาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ก็โต้แย้งเพียงว่า การกระทำของพวกของจำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น ไม่มีเจตนาฆ่า ไม่ได้โต้แย้งว่าไม่ได้มีเจตนาร่วมกับพวกในการทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ฟังได้เป็นที่พอใจแล้วว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับพวกในการใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับปัญหาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวก แสดงว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า แม้พวกของจำเลยที่ 2 จะใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แต่พวกจำเลยก็ฟันเพียงครั้งเดียว ในขณะที่ผู้เสียหายไม่ทันระวังตัว ไม่ได้ต่อสู้ หรือมีผู้ใดเข้าขัดขวาง หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่าพวกจำเลยฟันผู้เสียหายซ้ำอีก ทั้งบาดแผลที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับ มีความยาว 5 เซนติเมตร ไม่ลึกถึงกะโหลกศีรษะ สามารถรักษาให้หายได้ภายใน 7 ถึง 14 วัน แสดงว่าพวกจำเลยไม่ได้ฟันโดยแรง ทั้ง ๆ ที่เป็นอาวุธมีดขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ฟันทำอันตรายต่อชีวิตได้โดยฟันเพียงครั้งเดียว พฤติการณ์แห่งคดีคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น ไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พฤติการณ์ที่พวกของจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกาย ย่อมเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดย่อมได้รับประโยชน์ด้วย ดังนั้น แม้คดีส่วนของจำเลยที่ 1 จะยุติแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ลดมาตราส่วนโทษคนละกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อรวมกับโทษพยายามฆ่าในสำนวนหลัง กับความผิดฐานพาอาวุธมีดแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี 6 เดือน ปรับ 100 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อรวมกับความผิดฐานพาอาวุธมีดแล้วเป็นจำคุก 6 เดือน ปรับ 50 บาท อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) และวรรคท้าย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยที่ 1 ไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดนครสวรรค์) มีกำหนด 1 ปี และส่งจำเลยที่ 2 ฝึกอบรมมีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันฟังคำพิพากษา หากจำเลยทั้งสองมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ ก่อนครบกำหนดฝึกอบรม ให้ส่งจำคุกเท่ากับระยะเวลาฝึกอบรมที่เหลืออยู่ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาพยายามฆ่า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share