คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1611/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ล้มละลายกับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2เป็นคำร้องที่ขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้อันจะแบ่งแยกกันชำระมิได้ แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะอุทธรณ์คนเดียว และศาลฎีกาฟังว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทมาโดยสุจริตศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงผู้คัดค้านที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2527 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2529 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30465 พร้อมตึกแถวสามชั้นครึ่ง เลขที่ 281/47ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2527 จำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวให้แก่นางสาวสุดารัตน์ศิลป์วิสุทธิ์ ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยที่ 2โดยผู้คัดค้านที่ 1 รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 2 ผู้โอนมีหนี้สินล้นพ้นตัวอันเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2528ผู้คัดค้านที่ 1 ได้นำที่ดินพร้อมตึกแถวที่รับโอนมาดังกล่าวไปจำนองไว้กับธนาคารกสิกรไทยผู้คัดค้านที่ 2 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่มีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายแล้ว จึงขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองที่ดินระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหากกลับคืนสู่ฐานะเดิมไม่ได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1ไม่เคยทราบถึงภาระหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยที่ 2 การรับโอนที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าว ผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนมาโดยเสียค่าตอบแทนและสุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 30465ตำบลสุริยวงศ์ (บางรัก) อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 15 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินคือตึกแถวสามชั้นครึ่งเลขที่ 281/47 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 1และให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ย ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำร้องของผู้ร้องและทางนำสืบของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16มกราคม 2527 อันอยู่ในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย จำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยที่ 2ในราคา 1,200,000 บาท โดยชำระราคาด้วยเช็คเงินสดจำนวน250,000 บาท และหักหนี้ที่จำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 302,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 648,000 บาท บิดาของผู้คัดค้านที่ 1 ได้นำทองคำแท่งออกขายแล้วนำเงินมาชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2528 อันเป็นเวลาภายหลังมีการขอให้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้กับผู้คัดค้านที่ 2 ในวงเงิน 1,000,000บาท ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 มีว่าการโอนดังกล่าวได้กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2กับผู้คัดค้านที่ 1 จะเป็นพี่น้องกันเคยอยู่บ้านเดียวกันผู้คัดค้านที่ 1 เคยร่วมทำงานอยู่กับจำเลยที่ 2 มาก่อน และก่อนทำการโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจำเลยที่ 2 เป็นหนี้ผู้คัดค้านที่ 1 ตามเช็คหลายฉบับเป็นเงิน 300,000 บาทเศษตามคำร้องของผู้ร้อง แต่ก็ได้ความตามทางนำสืบของผู้คัดค้านที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 ได้แต่งงานและออกจากบ้านเดิมตามที่ระบุในภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ร.1 ไปอยู่กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีที่บ้านเลขที่ 281/45 ถนนสุริยวงศ์แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. 2520ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ก็ได้ย้ายจากบ้านเดิมพร้อมบิดามารดาไปอยู่บ้านเลขที่ 1/25 ถนนดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ผู้คัดค้านที่ 1 เคยเป็นนายหน้าขายเพชรพลอยให้จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 จนถึง พ.ศ. 2525 หลังจากนั้นผู้คัดค้านที่ 1 ก็ทำการค้าเพชรพลอยเองโดยมิได้ทำการค้าเพชรพลอยเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 อีก ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะทราบถึงหนี้สินของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะจำเลยที่ 2 ไม่เคยแจ้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 หรือบิดามารดาทราบการที่จำเลยที่ 2 ได้เคยกู้ยืมเงินผู้คัดค้านที่ 1 โดยออกเช็คให้ยึดถือไว้เป็นประกันจำนวน 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 300,000 บาทเศษยังไม่พอถือว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังมีกิจการค้าเพชรพลอยและมีทรัพย์สินเป็นที่ดินพร้อมตึกแถว 2 แห่ง มูลค่านับล้านบาท เหตุที่ผู้คัดค้านที่ 1ขอซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ 2 เนื่องจากทราบข่าวว่าบ้านเลขที่ 1/25 ถนนดินแดง จะถูกเวนคืนเพื่อทำทางด่วนซึ่งต่อมาก็ได้ถูกเวนคืนจริง ปรากฏตามหนังสือการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย ร.ค.30 ร.ค.31 ส่วนผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทในราคาต่ำกว่าราคาในท้องตลาด อันจะพอถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1รับโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทมาโดยไม่สุจริต ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้โดยสุจริต ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีไม่จำเป็นต้องสืบพยานผู้คัดค้านที่ 1 เพิ่มเติม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้คัดค้านที่ 1 ฟังขึ้น
อนึ่ง การที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2นั้น เป็นคำร้องที่ขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้อันจะแบ่งแยกกันชำระมิได้ แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงผู้คัดค้านที่ 2 ด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share