คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16104/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีส่วนอาญา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ก. และจำเลยที่ 1 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291 และข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 โจทก์คดีนี้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของ ก. เพียงฝ่ายเดียว จึงลงโทษ ก. และยกฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์และโจทก์ร่วมในคดีอาญาอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ส่วน ก. อุทธรณ์ว่าตนไม่มีความผิด ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จึงจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแต่อุทธรณ์ของ ก. แล้ววินิจฉัยว่า ก. เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของ ก. เพียงฝ่ายเดียว แต่โจทก์และโจทก์ร่วมในคดีอาญายังอุทธรณ์อยู่ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นในคดีส่วนอาญาพิพากษาจึงยังไม่ยุติ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลชั้นต้น และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาก็เป็นการพิพากษาในส่วนของ ก. เท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้ทำละเมิดหรือร่วมกับ ก. ทำละเมิด แม้ ก. ขับรถโดยประมาทเลินเล่อก็ไม่ทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะสืบพยานให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,030,968 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าในปี 2549 ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการฟ้องนายกรัญและจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และข้อหาตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 โจทก์คดีนี้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการด้วย ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีชั่วคราวคดีนี้เพื่อรอฟังผลคดีอาญา ต่อมาคดีอาญา ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2550 ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของนายกรัญเพียงฝ่ายเดียว นายกรัญจึงมีความผิดและลงโทษนายกรัญ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 คดีนี้ถึงแก่ความตาย เจ้าหน้าที่จำหน่ายชื่อจากทะเบียนบ้านเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2550 โจทก์และโจทก์ร่วมในคดีอาญาอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้ว ส่วนนายกรัญอุทธรณ์ว่าตนไม่มีความผิด ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลจังหวัดสมุทรปราการทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จึงจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องรวมทั้งสิทธิในการอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมในคดีอาญาย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงคงพิจารณาแต่อุทธรณ์ของนายกรัญ และวินิจฉัยว่าการที่นายกรัญขับรถเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนบางนา – ตราด ซึ่งเป็นทางเอกทันที โดยมิได้หยุดรถรอให้รถที่แล่นมาตามทางเอกผ่านไปก่อนเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ และเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน นายกรัญจึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย อุทธรณ์ของนายกรัญฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า คดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ขอให้ยกคดีแพ่งนี้ขึ้นพิจารณาต่อไป และขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ถึงวันนัดศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จากสารบบความ โจทก์แถลงขอสืบพยานโจทก์โดยมีประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาที่ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาท ซึ่งคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะให้โจทก์สืบพยาน มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 แถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทของนายกรัญเพียงฝ่ายเดียวอันมีความหมายว่าจำเลยที่ 1 มิได้ขับรถโดยประมาทด้วยก็ตาม แต่โจทก์และโจทก์ร่วมในคดีอาญายังอุทธรณ์อยู่ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยหรือไม่ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 ไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือศาลฎีกาอาจพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยก็ได้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาดังกล่าวจึงยังไม่ยุติหรือยังไม่ถึงที่สุดสำหรับจำเลยที่ 1 ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่านายกรัญเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท ก็เป็นการพิพากษาในส่วนของนายกรัญเท่านั้น ไม่มีประเด็นให้พิพากษาในส่วนของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทด้วยหรือไม่แต่อย่างใด เพราะจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายไปก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแล้ว นอกจากนี้ คดีนี้โจทก์เป็นมารดานางขนิษฐาผู้ซ้อนท้ายรถนายกรัญ เป็นผู้ถูกทำละเมิด ไม่ใช่เป็นผู้ทำละเมิดหรือร่วมกับนายกรัญทำละเมิดด้วย แม้นายกรัญขับรถโดยประมาทเลินเล่อก็ไม่ทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะสืบพยานให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ก็มีส่วนประมาทเลินเล่อ เพราะหากข้อเท็จจริงจากการที่โจทก์สืบพยานฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อด้วย แม้จะฟังว่าประมาทเลินเล่อน้อยกว่านายกรัญ จำเลยที่ 1 ก็ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่นั่นเอง และหากจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็อาจต้องร่วมรับผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 จึงจำต้องให้โจทก์สืบพยานเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share