คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกัน แม้มิได้เรียกร้องเป็นค่าเสียหายอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย แต่โจทก์ได้แนบสัญญาเช่าซื้อมาท้ายคำฟ้องและมีคำขอบังคับให้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา และโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อโดยอ้างส่งสัญญาเช่าซื้อต่อศาล เมื่อสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่าหากทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย สูญหาย ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาจนครบ คำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายแล้ว เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อก็ต้องใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่ยังขาดอยู่โดยอ้างว่าเป็นเงินส่วนที่โจทก์ขาดทุน เมื่อค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่นั้น ก็คือค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่รวมทั้งหนี้สินอื่นที่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดซึ่งก็เป็นค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 จึงเป็นการกำหนดประเด็นที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายแล้ว เพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๒๗๐,๐๙๓.๖๒ บาท และให้ร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๘๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อมีราคาประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระเงินดาวน์จำนวน ๑๑๕,๐๐๐ บาท และชำระค่าเช่าซื้อรวม ๑๔ งวด เป็นเงิน ๑๑๙,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายเพราะถูกคนร้ายลักไป จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าขาดประโยชน์ไม่เกินเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๒๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า ตามคำฟ้องและทางนำสืบโจทก์ พอถือได้ว่าโจทก์เรียกราคารถยนต์อันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๖ ระบุไว้ว่าในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมด หากรถยนต์ที่เช่าซื้อเกิดสูญหาย ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดชดใช้ค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วน แม้คำฟ้องของโจทก์จะเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันมิได้เรียกร้องเป็นค่าเสียหายอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายก็ตาม พอถือได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ตามคำฟ้องและทางนำสืบโจทก์ได้บรรยายและนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าซื้อโดยได้แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อมาท้ายคำฟ้องและอ้างส่งสัญญาเช่าซื้อต่อศาล และมีคำขอบังคับให้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคารถยนต์ ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๖ ระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย สูญหายไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัยหรือโดยเหตุใด ๆ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาจนครบ ดังนั้น ตามคำฟ้องและทางนำสืบโจทก์พอถือได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป จำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อก็จะต้องใช้ราคารถยนต์นั้นให้แก่โจทก์ แม้สัญญาเช่าซื้อจะระงับเพราะวัตถุแห่งสัญญาสูญหายความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ก็ยังมีอยู่ตามข้อสัญญาประกอบกับเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์ ๑๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ติดใจอุทธรณ์ คงมีแต่โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวขอค่าเสียหายราคารถยนต์เพิ่มขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ลงทุนซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อมาในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์บางส่วนเป็นเงิน ๑๑๑,๒๑๕.๐๒ บาท โจทก์ยังคงขาดทุนอีกเป็นเงิน ๑๘๘,๗๘๔.๙๘ บาท จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๑๘๘,๗๘๔.๙๘ บาท คือค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่รวมทั้งหนี้สินอื่นที่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๖ ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้แก่โจทก์นั่นเอง การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้นก็เป็นค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๖ เช่นกัน ศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นมานั้นถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คดีนี้แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เนื่องจากเมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายแล้วเพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า จึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โจทก์ฎีกาว่า ค่าเสียหายราคารถยนต์ควรเป็น ๑๘๘,๗๘๔.๙๘ บาท เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ชำระเงินดาวน์จำนวน ๑๑๕,๐๐๐ บาท และชำระเงินค่างวด ๑๔ งวด จำนวน ๑๑๑,๒๑๕.๐๒ บาท รวมเป็นเงิน ๒๒๖,๒๑๕.๐๒ บาท เมื่อนำมาหักออกจากราคารถยนต์ที่แท้จริง ที่ศาลชั้นต้นกำหนดราคารถยนต์ส่วนที่ขาดให้เป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นั้นเหมาะสมเป็นธรรมแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share