แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและค่าเหล็กตัวซีรวมเป็นเงิน 204,850 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 156,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 150,000บาท นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3ในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินเพียง 48,100 บาท เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะวินิจฉัยในส่วนนี้ให้ก็เป็นการไม่ชอบ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ตกลงรับจ้างเหมาก่อสร้างงานบำบัดน้ำเสียของโรงพยาบาล แล้วจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างแทนทั้งหมด ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศ เป็นการบรรยายข้ออ้างว่ามีนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามแล้ว ประกอบกับคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและค่าเหล็กตัวซีด้วย ถือได้ว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีนิติสัมพันธ์กันตามกฎหมายแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นอุทธรณ์นอกฟ้องและเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ตกลงรับจ้างเหมาก่อสร้างงานระบบบำบัดน้ำเสียของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา แล้วจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างแทนทั้งหมด ต่อมา จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศ ซึ่งเป็นบ่อคอนกรีตเสริมเหล็กอยู่ในระบบบำบัดน้ำเสียในราคา 280,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระค่าจ้างโจทก์เพียง 60,000 บาทเท่านั้น โจทก์ทำงานก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จร้อยละ 90 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ยอมให้โจทก์ทำงานก่อสร้างต่อไปตามสัญญาและค้างชำระค่าจ้างอยู่จำนวน190,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำการก่อสร้างต่อไปโดยนำเหล็กตัวซีของโจทก์จำนวน 9 เส้น ราคา 6,750 บาท ไปใช้รัดแบบก่อเทคอนกรีตจนหมดสิ้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและค่าเหล็กตัวซีรวมเป็นเงิน 204,850บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 190,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ในการว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศตามฟ้อง โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 156,750บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 150,000 บาท นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างและค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องนั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและค่าเหล็กตัวซี รวมเป็นเงิน 204,850 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 156,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 150,000 บาท นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์ว่าพยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันตรงกันรับฟังได้ว่างานเสร็จแล้วร้อยละ 90 ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างและค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ปรากฏว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2และที่ 3 ในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินเพียง 48,100 บาท เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะวินิจฉัยในส่วนนี้ให้ก็เป็นการไม่ชอบ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สำหรับฎีกาของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1 เป็นตัวการยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2และที่ 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องโดยมิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์นอกฟ้องเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยให้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ตกลงรับจ้างเหมาก่อสร้างงานบำบัดน้ำเสียของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา แล้วจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างแทนทั้งหมดต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2540 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศ เป็นการบรรยายข้ออ้างว่ามีนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามแล้ว ประกอบกับคำขอบังคับท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและค่าเหล็กตัวซีด้วย ถือได้ว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีนิติสัมพันธ์กันตามกฎหมายแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1โจทก์ย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นอุทธรณ์นอกฟ้อง และเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยให้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วยหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้วินิจฉัย เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยก่อนในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1 รับกันและไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างเหมาก่อสร้างงานบำบัดน้ำเสียของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างแทนทั้งหมด ต่อมาจำเลยที่ 2และที่ 3 ตกลงว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศซึ่งเป็นบ่อคอนกรีตเสริมเหล็กอยู่ในระบบบำบัดน้ำเสียในราคา 280,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระค่าจ้างให้โจทก์60,000 บาท นอกจากนี้โจทก์นำสืบว่า ในขณะที่โจทก์ดำเนินการก่อสร้าง นายสะสมวงศ์เล็ก วิศวกรผู้ควบคุมงานของจำเลยที่ 1 มาควบคุมดูแลงานก่อสร้างทั้งหมดโดยตลอดและไม่เคยทักท้วงงานก่อสร้าง รวมทั้งให้โจทก์เข้าร่วมกำหนดแผนงานก่อสร้างด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 และชำระค่าจ้างให้จำเลยที่ 2 โดยตรง ไม่ได้ว่าจ้างโจทก์และไม่รู้เห็นในการตกลงจ้างงานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เห็นว่า โจทก์นำสืบพยานหลักฐานแต่เพียงว่าวิศวกรของจำเลยที่ 1 มาควบคุมดูแลงานก่อสร้างและไม่เคยทักท้วงงานก่อสร้าง กับให้โจทก์เข้าร่วมกำหนดแผนงานก่อสร้างเท่านั้น มิได้นำสืบถึงความมีนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามตามข้ออ้างแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 นำสืบปฏิเสธ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1กับโจทก์มีนิติสัมพันธ์ในการจ้างโจทก์ก่อสร้างบ่อเติมอากาศตามฟ้อง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน