แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การให้บริการประเภทบัตรเครดิตเป็นวัตถุประสงค์ของธนาคารโจทก์ การที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่สมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตรดังกล่าวจากสมาชิกโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อน กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7) ตามใบแจ้งยอดหนี้เอกสารท้ายฟ้อง กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2538 จึงพ้นกำหนด 2 ปีสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดให้บริการสินเชื่อประเภทบัตรเครดิต ชื่อบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยาแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ และสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้เบิกเงินสดล่วงหน้า ไปใช้ชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการอื่น ๆ แทนการชำระด้วยเงินสดแก่ร้านค้าหรือสถานที่ให้บริการที่มีข้อตกลงไว้กับโจทก์ โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินทดรองแทนจำเลยแล้วจะเรียกเก็บเงินจากจำเลยในภายหลังโดยจำเลยยอมเสียค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรเครดิตให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 1 ต่อเดือนกับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดในขณะนั้น ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2533 ถึงเดือนกันยายน 2533จำเลยได้นำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้เบิกเงินสดล่วงหน้าและนำไปใช้ชำระค่าบริการรวมหลายครั้ง โจทก์ได้ออกเงินทดรองแทนจำเลยไปแล้วและส่งใบแจ้งยอดหนี้ให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยไม่ชำระยอดหนี้คิดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2534 จำนวน 34,177.11บาท โจทก์ได้ยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2534 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 58,866.14 บาท แก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปีของเงินต้น 31,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปแต่ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในอายุความ 2 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าหากได้วินิจฉัยขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจะทำให้คดีเสร็จไป จึงงดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 2 ปีแล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์โดยออกบัตรชื่อว่าบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์และนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้เบิกเงินสดจากโจทก์ใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสด โจทก์เป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลังจำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรเครดิตให้แก่โจทก์ตามใบแจ้งยอดหนี้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 34,177.11 บาท ภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การให้บริการประเภทบัตรเครดิตเป็นวัตถุประสงค์ของโจทก์ การที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่สมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตรดังกล่าวจากสมาชิกโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บจากสมาชิกภายหลัง ก็เป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อน กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) ปรากฏว่าตามใบแจ้งยอดหนี้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 กำหนดให้จำเลยชำระหนี้ที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2538 จึงพ้นกำหนด 2 ปีสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน