คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นบุตรนาง จ. เดิม จ. ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์มรดกให้แก่ น. ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาจำเลยจ้างโจทก์ให้เป็นที่ปรึกษาและดำเนินการเพื่อให้ จ. เพิกถอนพินัยกรรมฉบับดังกล่าว โจทก์ได้เกลี้ยกล่อมจน จ. ยอมเพิกถอนพินัยกรรมและทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้จำเลย ถือว่าโจทก์ดำเนินการตามสัญญาจ้างเสร็จแล้ว สัญญาที่จำเลยจ้างโจทก์เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ แม้จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นแต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นที่ปรึกษากฎหมายและดำเนินการเพื่อให้นางจันทร์ฉาย ทองวิบูลย์ มารดาจำเลยเพิกถอนพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2537 ที่ยกทรัพย์มรดกให้นางนรกมลหรือนพมาศ เอี่ยมรุ่งโรจน์ หรือทองวิบูลย์ ในราคาค่าจ้างจำนวน 3,000,000 บาท โจทก์ทำงานเสร็จแล้ว โดยมารดาจำเลยเพิกถอนพินัยกรรมดังกล่าวและยกทรัพย์มรดกให้จำเลยแต่เพียงผู้เดียวแต่จำเลยไม่ชำระค่าจ้าง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ให้ดำเนินการเพื่อให้มารดาจำเลยเพิกถอนพินัยกรรมตามฟ้อง การเพิกถอนพินัยกรรมเป็นความประสงค์ของมารดาจำเลยเอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นบุตรนางจันทร์ฉายทองวิบูลย์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2537 นางจันทร์ฉายทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์มรดกให้แก่นางนรกมลหรือนพมาศ เอี่ยมรุ่งโรจน์หรือทองวิบูลย์ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม2538 นางจันทร์ฉายทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองเพิกถอนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.2 ยกทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยและตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.5 และวันที่ 22 สิงหาคม 2538 นางจันทร์ฉายทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพิกถอนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.5 ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก แต่ยังคงยกทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยเช่นเดิมตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.6 จำเลยลงชื่อเป็นผู้ให้สัญญาและเป็นผู้เขียนหมายเหตุในหนังสือสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.1

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยจ้างโจทก์ให้ดำเนินการเพื่อให้นางจันทร์ฉายเพิกถอนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่เลื่อนลอยและขัดต่อเหตุผล ข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยจ้างโจทก์ให้เป็นที่ปรึกษาและดำเนินการเพื่อให้นางจันทร์ฉายเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.2

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข่อต่อไปมีว่า โจทก์ทำงานตามสัญญาเสร็จแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์เกลี้ยกล่อมนางจันทร์ฉายจนยอมเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.2 แล้วทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.5ยกทรัพย์มรดกให้จำเลย ถือว่าโจทก์ดำเนินการตามสัญญาจ้างเสร็จแล้ว

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจ้างดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะนั้น แม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า การที่จำเลยจ้างโจทก์ให้เป็นที่ปรึกษาและดำเนินการเพื่อให้นางจันทร์ฉายเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวหาตกเป็นโมฆะไม่

พิพากษายืน

Share