คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606-1607/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์การที่จำเลยที่ 2 นำที่พิพาทไปขายให้จำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ย่อมได้สิทธิไปเท่าที่จำเลยที่ 2 มีอยู่และถือว่าการที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทนั้นเป็นการครอบครองแทนโจทก์
ระยะเวลาหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ใช้สำหรับผู้แย่งการครอบครองจะยกขึ้นต่อสู้ครอบครองเดิม ผู้ยึดถือที่พิพาทแทนผู้ครอบครองจะยกระยะเวลาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้ครอบครองมิได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาแยกกันมา แต่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน

โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทโจทก์ได้บุกเบิกก่อสร้างทำประโยชน์แจ้งการครอบครองเสียภาษีบำรุงท้องที่มาเกือบ 30 ปีแล้ว นายมานิ สายหลี จำเลยเป็นน้องภริยาโจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2521 โจทก์พิพาทกับนายเรืองหรือบุญช่วย เสนาโกฎ และนายดะอี สายหลี เรื่องบุกรุกที่ดิน โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานที่ดินออกไปตรวจสอบอาณาเขต นายมานิ สายหลี จำเลยอ้างว่าที่ดินและบ้านที่อาศัยเป็นของจำเลยคิดเป็นราคา 23,000 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนแย่งการครอบครองของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านของโจทก์ได้บอกกล่าวให้ออกไปแล้วแต่จำเลยไม่ออก ขอให้บังคับจำเลยอพยพครอบครัวและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นน้องภริยาโจทก์ ที่ดินและเรือนที่จำเลยอาศัยเป็นของบิดามารดาจำเลย บิดาจำเลยถึงแก่กรรมตั้งแต่จำเลยยังเล็กเมื่อ 26-27 ปีมานี้ก่อนให้การ โจทก์ได้นางหร้อเกี้ยพี่สาวจำเลยเป็นภริยาแล้วอาศัยอยู่ที่บ้านเรือนมารดาจำเลยตลอดมา เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนให้การภริยาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้ออกจากที่ดินบ้านเรือนของมารดาจำเลยไปไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวในที่ดินและบ้านเรือนแต่อย่างใดเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนให้การ มารดาจำเลยได้ยกที่ดินดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยได้รับการยกให้และครอบครองโดยสงบเปิดเผยเพื่อตนเองตลอดมา ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง ครั้น พ.ศ. 2520 มารดาจำเลยป่วย จำเลยได้แบ่งขายที่ดินด้านทิศเหนือแก่ผู้มีชื่อ จำเลยคงครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง หากศาลฟังว่าที่พิพาทและเรือนเป็นของโจทก์ โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องเอาคืนการครอบครองเพราะขาดอายุความ เมื่อกลางปีนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินของจำเลย จำเลยได้ห้ามปราม ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลย

โจทก์สำนวนหลังฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโดยบุกเบิกก่อสร้าง แผ้วถางครอบครองปลูกบ้านและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาเกือบ 30 ปีแล้วเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2521 นายเรืองหรือบุญช่วย จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยกเสาเรือนและสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์ตอนเหนือ โจทก์ได้ห้ามปรามแล้วแต่นายเรืองหรือบุญช่วยอ้างว่าได้ซื้อที่ดินจากนายดะอีหรืออี จำเลยซึ่งเป็นน้องภริยาโจทก์ เมื่อโจทก์ห้ามปรามแล้ว นายเรืองหรือบุญช่วยได้ทำรั้วลวดหนามในเขตที่ดินอีก จึงขอให้นายเรืองหรือบุญช่วยรื้อถอนเสาบ้านพร้อมด้วยเสารั้วลวดหนามออกหากไม่รื้อ ขอให้ศาลสั่งโจทก์เป็นผู้รื้อแทน โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์

นายเรืองหรือบุญช่วยจำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าจากนายดะอีหรืออีจำเลยที่ 2 โดยทำเป็นหนังสือเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ได้ล้อมรั้วปลูกเรือนอาศัยมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่ได้เข้ามาโต้แย้งเกี่ยวข้องแต่อย่างใด หากศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โจทก์ก็หมดสิทธิฟ้องร้องเอาคืนการครอบครองได้ เพราะคดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลย

นายดะอีหรืออี สายหลี จำเลยที่ 2 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาจำเลย บิดาจำเลยถึงแก่กรรมนานแล้ว เมื่อ 26-27 ปี ก่อนให้การ โจทก์ได้นางหร้อเกี้ยพี่สาวจำเลยเป็นภริยา แล้วได้เข้ามาอาศัยที่บ้านเรือนของมารดาจำเลย เมื่อ 20 ปีก่อนให้การนางหร้อเกี้ยภริยาโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์ได้ออกจากบ้านเรือนมารดาจำเลยไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนให้การ มารดาจำเลยได้ยกที่ดินให้แก่นายมานิ สายหลี น้องชายจำเลย นายมานิ สายหลี ได้นำสำรวจที่ดินเพื่อเสียภาษีและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อต้นปี 2520 มารดาจำเลยป่วยไม่มีเงินรักษา นายมานิ สายหลี ให้มารดาเอาที่ดินด้านทิศเหนือขาย มารดาจำเลยให้จำเลยไปขาย จำเลยได้ขายให้จำเลยที่ 1 โดยทำหนังสือซื้อขายกันเอง เมื่อเดือนเมษายน 2520 จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาเกินกว่า 1 ปีแล้ว หากฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็หมดสิทธิฟ้องร้องเอาคืนขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว สำนวนแรกพิพากษาว่าเรือนและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้นายมานิหรือม่านิจำเลยและบริวารออกจากเรือนและที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีก ให้นายมานิหรือม่านิจำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ900 บาทแทนโจทก์ สำนวนหลังพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้นายเรืองหรือบุญช่วยจำเลยรื้อถอนเสาบ้านพร้อมด้วยเสารั้วและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินพิพาทหากไม่รื้อให้โจทก์รื้อแทนโดยให้นายเรืองหรือบุญช่วยออกค่าใช้จ่าย ห้ามนายเรืองหรือบุญช่วยกับนายดะอีหรืออีหรือจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีก

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่านางแดงและนายดะอี สายหลี จำเลยที่ 2เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 เอาที่พิพาทไปขายให้นายเรืองหรือบุญช่วย เสนาโกฎ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ย่อมได้สิทธิไปเท่าที่จำเลยที่ 2มีอยู่ และต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทนั้น เป็นการครอบครองแทนโจทก์ไม่ใช่เป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท แม้จำเลยที่ 1 จะครอบครองที่พิพาทเกินกว่า1 ปี ก็จะยกระยะเวลาดังกล่าวนี้ต่อสู้โจทก์ไม่ได้

พิพากษายืน

Share