คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอสินเชื่อจากโจทก์ จำเลยที่ 1กับผู้ร้องได้แยกกันอยู่ และจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินสินเชื่อที่ได้รับจากโจทก์ไปใช้อุปการะเลี้ยงดูผู้ร้อง หนี้ที่จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว จึงไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอกันส่วนจากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้กึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรส ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องแล้ว ตราบใดที่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันโจทก์กับผู้ร้องนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่ศาลชั้นต้นให้แจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์โจทก์ขอบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 22768และ 22769 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาด เพื่อชำระหนี้ได้เงิน 3,400,000 บาท ธนาคารไทยทนุ จำกัด ยื่นคำร้องว่าเป็นผู้รับจำนองที่ดินทั้งสองแปลงที่โจทก์นำยึดและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ขอรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองก่อนและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ธนาคารไทยทนุ จำกัด รับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดที่ดินก่อนโจทก์ได้ตามคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงมีกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่ง หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างสามีภรรยาอันผู้ร้องจะต้องรับผิดด้วย ขอให้มีคำสั่งกันส่วนเงินจากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นเป็นหนี้เพื่อใช้จ่ายในธุรกิจของครอบครัวและใช้จ่ายอุปการะเลี้ยงดูครอบครัวและผู้ร้อง จึงถือว่าเป็นหนี้ร่วมของจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 โจทก์ชอบที่จะเอาชำระหนี้จากสินสมรสและสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ได้ ผู้ร้องไม่มีอำนาจขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามคำร้องจำนวน 3,400,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสเป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่งเป็นจำนวน 1,700,000 บาท ส่งมอบให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่าขณะที่จำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอสินเชื่อจากโจทก์ จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องได้แยกกันอยู่ และจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินสินเชื่อที่ได้รับจากโจทก์ไปใช้อุปการะเลี้ยงดูผู้ร้อง หนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวคดีจึงฟังได้ว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอกันส่วนจากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้กึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรสผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 และสำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ขายทอดตลาดดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองไว้ต่อธนาคารไทยทนุ จำกัด และธนาคารดังกล่าวได้ขอรับชำระหนี้เข้ามาในคดีนี้แล้วนั้น เห็นว่าธนาคารไทยทนุ จำกัด จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้เพียงใด เป็นกรณีที่จะต้องว่ากล่าวกันระหว่างธนาคารไทยทนุ จำกัด กับจำเลยที่ 1 และผู้ร้องโจทก์จะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดในคดีนี้ไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 23พฤษภาคม 2533 ที่ให้แจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นสินสมรสเป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่งเป็นจำนวน 1,700,000 บาท ส่งมอบให้แก่ผู้ร้อง ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุดนั้น เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องแล้ว ตราบใดที่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันโจทก์กับผู้ร้องนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่ศาลชั้นต้นให้แจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ได้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share