คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาอ้างเพียงว่า คำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ โดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไร มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองควรชนะคดีอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249
ปัญหาว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าที่พิพาทจากโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ ๒ โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ ๒ออกไปจากที่พิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาท ไม่มีอำนาจที่จะเอาที่พิพาทให้จำเลยที่ ๑ เช่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อสิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ และได้ครอบครองมาจนถึงปัจจุบันโดยโจทก์มิได้ทักท้วงห้ามปรามเป็นเวลาร่วม ๕ ปีแล้ว โจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนดอายุความ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยที่ ๒ ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โจทก์ได้ถึงแก่กรรม นายประเวศเกษมวัน บุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีนี้โจทก์เพียงคนเดียวที่เบิกความว่า โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาท เป็นการเบิกความเพื่อประโยชน์ต่อตนฝ่ายเดียว พยานโจทก์ปากนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ โจทก์ครอบครองที่พิพาทจำนวนมากไม่แน่ชัดว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ส่วนไหนบ้าง ดังนี้เป็นฎีกาที่อ้างเพียงว่าคำเบิกความของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ โดยมิได้กล่าวอ้างมาในฎีกาว่าฝ่ายจำเลยมีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือกว่าหรือไม่ อย่างไร มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ว่าจำเลยทั้งสองควรชนะคดีอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นฎีกาไม่ชอบตามมาตรา ๒๔๙ เช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share