คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 107/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อนเกิดเหตุ วันเกิดเหตุจำเลยและผู้เสียหายเข้ามาดื่มสุราในร้านเดียวกัน จำเลยมีอาการเมาสุรามากพูดจารบกวนผู้เสียหายและท้าผู้เสียหายชกต่อย ผู้เสียหายรำคาญจึงย้ายเข้าไปนั่งดื่มสุราต่อในร้าน จำเลยจึงเดินออกจากร้านอาหารและได้ยกรถจักรยานของผู้เสียหายซึ่งจอดอยู่หน้าร้านบรรทุกรถสามล้อเครื่องซึ่งขับผ่านมาไป มีการร้องตะโกนเรียกจำเลยแต่จำเลยก็ยังคงให้รถสามล้อเครื่องขับต่อไป ทั้งที่รถจักรยานยนต์ของจำเลยยังคงจอดอยู่ที่หน้าร้านอาหาร สักครู่จำเลยก็กลับมาที่ร้านอาหารอีก หลังจากจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับแล้ว จำเลยก็พาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอารถจักรยานคืนผู้เสียหายโดยดี การที่จำเลยเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปก็เพื่อจะกลั่นแกล้งผู้เสียหายจำเลยไม่มีเจตนาลักรถจักรยานผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 จำเลยลักเอารถจักรยานของนายอนันต์ ผู้เสียหายไปโดยใช้รถสามล้อเครื่องสาธารณะเป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์ไป เหตุเกิดที่แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1), 336 ทวิ จำคุก 4 ปี 6 เดือนจำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน 15 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เอารถจักรยานของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันจะเป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1(1) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักกันก่อนเกิดเหตุ เพราะต่างเป็นลูกค้าประจำของร้านขายอาหารชื่อสุเทพและเพื่อน ผู้เสียหายทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนจำเลยรับราชการเป็นพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทย วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปรับประทานอาหารและดื่มสุราที่ร้านอาหารดังกล่าวก่อนจำเลย โดยมีรถจักรยานคันที่เกิดเหตุเป็นพาหนะ ไปถึงเมื่อเวลาประมาณ1 นาฬิกา จอดรถจักรยานไว้ที่หน้าร้านแล้วนั่งรับประทานอาหารและดื่มสุราอยู่โต๊ะหน้าร้าน จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ของจำเลยไปถึงร้านหลังผู้เสียหายประมาณ 15 นาที จอดรถจักรยานยนต์ของตนไว้ที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามแล้วเข้ามาขอซื้อเบียร์จากทางร้านอาหาร1 ขวด ทางร้านไม่ยอมขายให้ บอกว่าปิดร้านแล้ว จำเลยจึงเข้าไปร่วมดื่มสุราและพูดคุยกับผู้เสียหายนานประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นจำเลยมีอาการเมาสุรามาก พูดจารบกวนผู้เสียหายและท้าผู้เสียหายชกต่อยกัน ผู้เสียหายรำคาญจึงย้ายเข้าไปนั่งดื่มสุราต่อภายในร้านพร้อมทั้งสั่งให้เด็กในร้านปิดประตูร้าน จำเลยจึงออกจากร้านไปและได้ยกรถจักรยานของผู้เสียหายบรรทุกรถสามล้อเครื่องไปด้วยศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายรู้จักกันดีต่างมีงานการทำเป็นหลักฐาน ผู้เสียหายเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ จำเลยรับราชการเป็นพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นลูกค้าประจำของร้านอาหารที่เกิดเหตุด้วยกัน วันเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุหลังจากที่จำเลยซื้อเบียร์จากร้านอาหารดังกล่าวไม่ได้แล้วก็ได้มานั่งดื่มสุราอยู่กับผู้เสียหายและได้พูดคุยกันเป็นเวลานานถึง 30 นาที เหตุการณ์ตอนที่จำเลยเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปก็เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้เสียหายหนีจำเลยเข้าไปดื่มสุราคนเดียวในร้านอาหารโดยปิดประตูร้านไม่ยอมให้จำเลยเข้าไปด้วย เนื่องจากเห็นว่าจำเลยมีอาการเมาสุรามากแล้ว เป็นเหตุให้จำเลยไม่พอใจ เวลาเกิดเหตุก็เป็นเวลาดึกมากแล้วไม่ปรากฏว่าในร้านที่เกิดเหตุมีคนอื่นอยู่อีก หน้าร้านที่เกิดเหตุก็มีแสงไฟสว่างเห็นได้ชัดเจน การเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปจำเลยใช้วิธีเรียกรถสามล้อเครื่องรับจ้างซึ่งบังเอิญผ่านมาแล้วให้ช่วยจำเลยยกรถจักรยานของผู้เสียหายขึ้นบรรทุกไป มิใช่กระทำการอย่างปิดบัง เมื่อเอารถจักรยานขึ้นรถสามล้อเครื่องได้แล้วมีการร้องตะโกนเรียกจำเลยก็ยังคงให้รถสามล้อเครื่องขับต่อไปโดยที่จำเลยยังคงทิ้งรถจักรยานยนต์ของตนไว้ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุนั้นเอง แสดงว่าจำเลยเอารถจักรยานของผู้เสียหายไป ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็ทราบดีว่าผู้เสียหายทราบว่าจำเลยเป็นคนเอาไป และหลังจากนั้นเพียง 15 นาที จำเลยก็นั่งรถสามล้อเครื่องคันเดิมกลับมายังร้านที่เกิดเหตุอีก ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า จำเลยยังได้พูดกับผู้เสียหายว่ากลับก่อนนะ ผู้เสียหายได้หน่วงเหนี่ยวตัวจำเลยไว้ โดยบอกว่าจะเลี้ยงสุราจำเลย จำเลยก็ยอมอยู่ด้วยกับผู้เสียหาย และผู้เสียหายยังได้เบิกความตอบโจทก์อีกตอนหนึ่งว่าที่เกิดเป็นเรื่องราวคดีนี้ผู้เสียหายเข้าใจว่าเพราะจำเลยมึนเมาสุรามาก และจำเลยคงจะล้อเล่นผู้เสียหายมากกว่า พนักงานสอบสวนคือร้อยตำรวจโทประภาส ปิยะมงคล ก็มาเบิกความว่า ในชั้นสอบสวนได้มีการแจ้งว่าจำเลยลักรถไป เนื่องจากการหยอกล้อหรือกลั่นแกล้งกันหลังเกิดเหตุเมื่อมีการสอบถามกันจริงจัง จำเลยก็ยอมพาไปเอารถจักรยานคือผู้เสียหายแต่โดยดี ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าเอารถจักรยานของผู้เสียหายไปเพียงเพื่อจะกลั่นแกล้งผู้เสียหาย ไม่มีเจตนาลักรถจักรยานผู้เสียหาย จึงมีน้ำหนักรับฟังได้
พิพากษายืน

Share