คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสของสามีโจทก์ จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก และจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของสามีโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ให้ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่อุทธรณ์จำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ เพราะเป็นผู้จะได้รับมรดกตามพินัยกรรม เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์พิพาทโดยตรง ทั้งถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย
เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ทรัพย์ที่สามีได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส(อ้างฎีกาที่ 84/2497 และฎีกาที่ 991/2501)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสของสามีโจทก์ซึ่งแต่งงานกันมาตั้งแต่พ.ศ. 2477 จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก และจากจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของสามีโจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาเจ้ามรดกถ้าหากมีหลักฐานมาแสดงว่าเป็นทายาท ก็พร้อมจะจัดการแบ่งมรดกให้

จำเลยที่ 2 ให้การว่า หากโจทก์เป็นภริยาเจ้ามรดกจริงก็เลิกร้างมากว่า 27 ปีแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นภริยาเจ้ามรดก และทรัพย์ตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์และเจ้ามรดกมิได้ทิ้งร้างกัน พิพากษาให้แบ่งทรัพย์ให้โจทก์

จำเลยที่ 2 ผู้เดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกไม่อุทธรณ์คดีจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งคำพิพากษานั้น ก็เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จะได้รับมรดกตามพินัยกรรม เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์พิพาทโดยตรงทั้งถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้เลิกร้างกับเจ้ามรดกแล้วทรัพย์พิพาทเจ้ามรดกได้มาระหว่างร้างกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งเป็นสินสมรส อ้างฎีกาที่ 84/2497 และฎีกาที่ 991/2501 พิพากษายืน

Share