คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของรถยนต์จะต้องรับผิดร่วมกับผู้กระทำละเมิดจากการขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทด้วย จึงไม่เป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นอกเหนือไปจากคำฟ้องแต่ประการใด แต่เมื่อการละเมิดเกิดจากการกระทำของลูกจ้าง ช. บุตรจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ และจำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 5 บ-6845 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1และในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทเห็นอยู่แล้วว่ามีกระบือตัวหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนอยู่และโจทก์กำลังขับรถจักรยานยนต์สวนทางมา ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จะต้องลดความเร็วลงเพื่อให้กระบือตัวนั้นข้ามถนนไปก่อนแต่หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กลับขับรถด้วยความเร็วสูงจนเกิดชนกระบือตายคาที่ และรถยนต์เสียหลักแล่นไปชนโจทก์ซึ่งกำลังขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลเป็นเงิน35,000 บาท แต่ไม่สามารถใช้แขนซ้ายได้ตามปกติ แขนซ้ายของโจทก์จึงพิการเสื่อมสมรรถภาพในการทำงาน ขอคิดค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน150,000 บาท รถจักรยานยนต์ของโจทก์ฟังจนไม่สามารถจะซ่อมใช้การได้อีกจึงขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 12,000 บาท นาฬิกายี่ห้อมิโด้เรือนเหล็กที่โจทก์ผูกข้อมือซ้ายขณะถูกชนแตกใช้การไม่ได้ โจทก์ขอคิดเป็นเงิน 3,000 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 200,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ และรถยนต์คันดังกล่าวได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวด้วย โจทก์มีหนังสือทวงถามแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียหาย 200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นนายจ้างของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 5 บ-6845 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันจึงไม่ต้องรับผิดชอบด้วย เหตุละเมิดเกิดจากเจ้าของกระบือที่ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลกระบือปล่อยให้วิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 1ในระยะกระชั้นชิดโดยกะทันหันสุดวิสัยที่ผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวจะหยุดหรือหลีกเลี่ยงได้พ้น จึงได้ชนกระบือตัวดังกล่าว และเลยไปชนรถจักรยานยนต์โดยมิใช่ความผิดหรือประมาทของผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว รถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมิใช่เป็นรถของโจทก์ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์มิได้บาดเจ็บตามที่ฟ้อง หากจะเสียค่ารักษาพยาบาลบ้างก็ไม่เกิน 5,000 บาท ไม่เสียความสามารถในการทำงานจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอีกจำนวน 150,000 บาทรถจักรยานยนต์เสียค่าซ่อมไม่เกิน 4,000 บาท นาฬิกาของโจทก์เป็นนาฬิกาที่เก่ามีราคาก็ไม่เกิน 800 บาท หากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชอบในการบาดเจ็บหรือเสียความสามารถในการทำงานแล้ว จำเลยที่ 2ก็มีความรับผิดชอบไม่เกินจำนวน 25,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายในเงินจำนวนนั้นเพียง 25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 5 บ-6845 กรุงเทพมหานครการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของรถยนต์จะต้องรับผิดร่วมกับผู้กระทำละเมิดจากการขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงไม่เป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นอกเหนือไปจากคำฟ้องแต่ประการใด แต่การละเมิดเกิดจากการกระทำของลูกจ้างของนายไชยวัฒน์บุตรจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยโดยผล
พิพากษายืน

Share