แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์4,700 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี ให้จำคุก 15 ปี รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 4,700 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายคดีนี้หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย โดยเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายขี่รถจักรยานออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ ขณะถึงใกล้ปากทางเข้าวัดหลวงพ่อหล่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์แซงขึ้นไปจอดที่ปากทางเข้าวัดแล้วถามว่าทางนี้ไปไหน ผู้เสียหายตอบว่าทางไปวัดหลวงพ่อหล่อพอตอบเสร็จจำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุต จี้ผู้เสียหายไม่ให้ส่งเสียงร้อง แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกันบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และวัดหลวงพ่อหล่อก็อยู่ใกล้ ๆ บ้านของจำเลย เห็นว่า ผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยเพราะเป็นญาติกัน บ้านอยู่ใกล้กัน จำเลยเองรู้จักทางเข้าวัดหลวงพ่อหล่อเป็นอย่างดี ไม่มีเหตุที่จะต้องสอบถามทางจากผู้เสียหายก่อนทำการชิงทรัพย์ กรณีมีเหตุชวนให้สงสัยว่าคนร้ายน่าจะไม่ใช่คนในท้องถิ่นนั้น โดยเฉพาะร้อยตำรวจตรีวัลลภเดชพันธ์ พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ตอนแจ้งความผู้เสียหายบอกว่าคนร้ายสวมหมวกกันน็อกด้วย แม้ผู้เสียหายจะมิได้เบิกความถึงในข้อนี้ แต่คำเบิกความของร้อยตำรวจตรีวัลลภก็มีเหตุผลน่าเชื่อเพราะคดีนี้เหตุเกิดเวลากลางวัน เป็นวิสัยของคนร้ายที่จะต้องปกปิดไม่ให้ผู้เสียหายจำหน้าได้ เมื่อคนร้ายสวมหมวกกันน็อกเช่นนี้โอกาสที่ผู้เสียหายจะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนและจำหน้าคนร้ายได้ จึงเป็นไปได้ยาก ยิ่งกว่านั้นได้ความจากผู้เสียหายและนายไพฑูรย์ สิทธิสาร บิดาผู้เสียหายซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่ทั้งผู้เสียหายและนายไพฑูรย์ก็ไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยถูกจับกุมนั้น ได้ความจากสิบตำรวจตรีสุขเสริม พันธ์เขียว พยานโจทก์ว่าพยานออกตรวจท้องที่เห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาแสดงท่าทางพิรุธพยานขอตรวจหลักฐานเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ แต่จำเลยไม่มีพยานนำจำเลยพร้อมรถจักรยานยนต์ไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพรกและพบผู้เสียหายซึ่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ผู้เสียหายเห็นจำเลยจึงแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยชิงทรัพย์ จะเห็นได้ว่า จำเลยเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง 17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง