คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แม้เจ้าหนี้มีเพียงผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้าง ฆ. แต่จำเลยที่ 2มิได้แถลงหรือให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งคัดค้านว่าข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น คำให้การของผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าวรับฟังได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กำหนดให้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น แต่ในกรณีที่มีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่เจ้าหนี้ขอรับชำระไปยังศาลชั้นต้นเมื่อใด ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเมื่อใด จึงต้องถือว่าวันที่เจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นวันที่ได้อ่านคำสั่งศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ฟังและกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์เริ่มนับแต่วันนั้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรเป็นเงินจำนวน3,808,834.76 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองรวม 10 รายการหนี้รายการอันดับ 1-8 เป็นเงิน 2,177,034.44 บาท เป็นหนี้ภาษีอากรค้างชำระของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมด้วย กับหนี้รายการอันดับ 9-10 เป็นเงิน1,631,800.32 บาท เป็นหนี้ภาษีอากรค้างชำระของห้างหุ้นส่วนจำกัดฆรวิตต์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและต้องรับผิดร่วมด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ (จำเลย)ตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104แล้ว จำเลยที่ 2 โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้ว่ายอดหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ไม่ถูกต้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรเป็นเงินจำนวน 2,177,034.44 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของห้างหุ้นส่วนจำกัดฆรวิตต์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีก 1,631,800.32 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ในประเด็นข้อแรกว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดฆรวิตต์ซึ่งค้างชำระค่าภาษีอากรเจ้าหนี้หรือไม่ เห็นว่าในชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แม้เจ้าหนี้มีเพียงนายสุริยะ ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างดังกล่าวซึ่งค้างชำระค่าภาษีอากรเจ้าหนี้ แต่จำเลยที่ 2 มิได้แถลงหรือให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งคัดค้านว่าข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น คำให้การของนายสุริยะดังกล่าวจึงรับฟังได้
คงมีปัญหาวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กำหนดให้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คดีนี้ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2533 และเจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์วันที่7 พฤศจิกายน 2533 ก็ตาม แต่ในกรณีที่มีการยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นเมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่เจ้าหนี้ขอรับชำระไปยังศาลชั้นต้นเมื่อใด ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเมื่อใด จึงต้องถือว่าวันที่เจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นวันที่ได้อ่านคำสั่งศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ฟังและกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์เริ่มนับแต่วันนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีนี้เจ้าหนี้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งให้ทราบเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2533 เจ้าหนี้จึงยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share