แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สองคนเข้าหุ้นส่วนกันตั้งร้านค้า มีชื่อเป็นบริษัทบริษัทหนึ่งได้ทำสัญญากู้เงินเขา โดยหุ้นส่วนคนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้กู้มีผู้อื่นเป็นผู้ค้ำประกันต่อมาผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่เขา ผู้ค้ำประกันต้องออกเงินใช้แทนไป ดังนี้ แม้ในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจะใช้คำว่าบริษัทเป็นผู้กู้ก็ดี แต่บริษัทดังว่า ยังมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจึงไม่ทำให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสองพ้นจากความรับผิดไปได้เพราะชื่อบริษัทที่กล่าวนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนใช้แทนชื่อของตนนั่นเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำการค้าร่วมกันใช้สมญาว่า บริษัทเนชั่นแนลฯ เทรดดิ้ง กำปะนี จำเลยที่ 1 ในนามของบริษัทเนชั่นแนลฯได้กู้เงินบริษัทไทยประสิทธิประกันภัยและคลังสินค้าจำกัด 20,000 บาท โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์ต้องออกเงินใช้หนี้แก่บริษัทไทยประสิทธิ ฯลฯ เจ้าหนี้ไป จึงขอให้จำเลยใช้
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 19,762 บาท50 สตางค์แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยที่คิดเกินไป 375 บาท
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยทั้ง 2 เป็นหุ้นส่วนกัน ตั้งร้านมีชื่อว่าบริษัทเนชั่นแนลเทรดดิ้ง กำปะนีได้ทำสัญญากู้เงินบริษัทไทยประสิทธิฯ 20,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้กู้ โจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่บริษัทไทยประสิทธิฯ โจทก์ต้องออกเงินใช้แทนไป ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจะใช้คำว่า บริษัทเนชั่นแนลเทรดดิ้งกำปะนี ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นผู้กู้ก็ดี ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไปได้ เพราะชื่อบริษัทที่กล่าวนี้จำเลยใช้แทนชื่อของตนนั่นเอง ฯลฯ
จึงพิพากษายืน