คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญากู้14ฉบับผู้เสียหายในฐานะผู้ให้กู้และจำเลยในฐานะผู้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญามีข้อความระบุว่าจำเลยได้กู้เงินผู้เสียหายไปจำนวน1,100,000บาทมีพยานรับรองถูกต้องจึงเป็นสัญญากู้ที่สมบูรณ์เป็นเอกสารที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีให้ชำระเงินกู้จำนวนดังกล่าวได้การที่จำเลยนำเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวไปโดยมิได้นำมาคืนให้แก่ผู้เสียหายไม่ว่าจะนำไปทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเอาไปด้วยประการใดๆเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้เสียหายขาดหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีจึงเป็นการกระทำโดยประการที่น่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา188

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188,341, 91 และให้จำเลยคืนหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน 14 ฉบับ แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ลงโทษจำคุก 6 เดือน ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้นำสัญญากู้จำนวน 14 ฉบับ ของผู้เสียหายไปอันจะเป็นความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีนางกรุณา เอมอยู่ ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่12 กรกฎาคม 2537 ผู้เสียหายได้ทำสัญญากู้ 14 ฉบับ รวมจำนวนเงินกู้ 1,100,000 บาท ที่จำเลยได้กู้จากผู้เสียหายไปให้จำเลยลงชื่อผู้กู้แล้ว จำเลยได้ขอเอาสัญญาดังกล่าวไปตรวจสอบดูว่าถูกต้องหรือไม่ และจะนำมามอบให้แก่ผู้เสียหายพร้อมเช็คชำระเงินในวันรุ่งขึ้น ในวันรุ่งขึ้นจำเลยก็มิได้นำสัญญากู้ทั้ง 14 ฉบับดังกล่าวมาคืนให้ผู้เสียหายโดยอ้างว่าสัญญากู้และเช็คดังกล่าวได้หายไป ผู้เสียหายพาจำเลยไปแจ้งความ จำเลยแจ้งความว่าเช็คของจำเลยหายไป โดยมิได้แจ้งความว่าสัญญากู้ได้หายไปด้วย โดยจำเลยบอกผู้เสียหายว่า ที่ไม่ได้แจ้งความเพราะจะทำสัญญากู้ให้ใหม่เมื่อผู้เสียหายทำสัญญากู้ขึ้นใหม่ 14 ฉบับได้ให้นางปราณีตลงชื่อเป็นพยานให้อีกและได้นำไปให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมลงชื่ออ้างว่าจะไปดูเด็กนักเรียนกำลังยุ่งอยู่ ขอนำเอาไปเซ็นชื่อที่บ้านเช่นเดิม ผู้เสียหายได้มอบสัญญากู้ดังกล่าวให้ไปโดยโจทก์มีนางปราณีต วงษ์เกษกรณ์ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนจงรักษ์วิทยาเป็นพยานเบิกความว่า ผู้เสียหายได้ทำสัญญากู้14 ฉบับ สองครั้ง ครั้งแรกได้ให้จำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้กู้ให้พยานลงชื่อเป็นพยานแล้วผู้เสียหายมอบให้จำเลยไป นอกจากนั้นยังมีนายฉัตรชัย มณีประเสริฐ ผู้จัดการโรงเรียนจงรักษ์วิทยาพยานโจทก์อีกปากหนึ่งได้เบิกความยืนยันว่า เคยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.9 ว่า จำเลยรับว่าได้นำเอกสารสัญญากู้ยืมทั้ง 14 ฉบับไปจากผู้เสียหายจริง นางปราณีตและนายฉัตรชัยเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยเป็นบุคคลภายนอกเป็นคนกลางไม่มีผลประโยชน์ได้เสียร่วมกับจำเลยและผู้เสียหายไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำให้จำเลยต้องรับโทษน่าจะได้เบิกความไปตามความเป็นจริงเชื่อได้ว่าจำเลยได้นำเอกสารสัญญากู้ 14 ฉบับ รวมสองครั้งไปจากผู้เสียหายจริง โดยสัญญากู้ 14 ฉบับแรก ได้มีการกรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้กู้ ผู้ให้กู้ และพยานไว้แล้ว หลังจากที่จำเลยได้นำสัญญากู้ไปแล้ว ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยมิได้นำเอกสารดังกล่าวมามอบคืนให้แก่ผู้เสียหายนางปราณีตก็ได้เบิกความว่าเหตุที่จำเลยมิได้นำมาคืน จำเลยอ้างว่าหาย ผู้เสียหายจึงมาขออนุญาตพาจำเลยไปแจ้งความ ตามคำเบิกความของนายเผอิญ ศรีนิเวศน์กำนันตำบลหลักสามว่าจำเลยบอกว่าได้นำเอาสัญญากู้จากผู้เสียหายทั้ง 14 ฉบับไปจริงและมิได้นำมาคืนผู้เสียหาย เพราะได้ชำระครบถ้วนแล้ว ทั้ง ๆ ที่จำเลยเคยได้ไปแจ้งความว่าเช็คที่จะนำมาชำระหนี้ได้หายไปแล้ว สัญญากู้ฉบับใหม่จำเลยก็ยังมิได้ลงชื่อและยังมิได้นำมามอบให้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า การที่จำเลยนำสัญญากู้ไปเพื่อประโยชน์ของตนเองในลักษณะไม่สุจริต เห็นว่า สัญญากู้ 14 ฉบับแรก ผู้เสียหายในฐานะผู้ให้กู้และจำเลยในฐานะผู้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญามีข้อความระบุว่าจำเลยได้กู้เงินผู้เสียหายไปจำนวน 1,100,000 บาท มีพยานรับรองถูกต้อง จึงเป็นสัญญากู้ที่สมบูรณ์เป็นเอกสารที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีให้ชำระเงินกู้จำนวนดังกล่าวได้การที่จำเลยนำเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวไปโดยมิได้นำมาคืนให้แก่ผู้เสียหาย ไม่ว่าจะนำไปทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเอาไปด้วยประการใด ๆ เป็นการกระทำที่ทำให้ผู้เสียหายขาดหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี จึงเป็นการกระทำโดยประการที่น่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย กรณีจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share