คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนใช้ขวานฟันทำร้ายผู้ตายแต่มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับขณะเกิดเหตุที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ขวานฟันทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยไม่พอใจผู้ตายมาก่อนเกิดเหตุทั้งจำเลยได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาขวานของกลางที่บ้านพ่อตาจำเลยชั้นสอบสวนจำเลยก็รับสารภาพโดยนำชี้ที่เกิดเหตุและมีการถ่ายรูปไว้ด้วยส่วนที่จำเลยอ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตนเนื่องจากผู้ตายจะทำร้ายจำเลยนั้นก็อ้างเอาฝ่ายเดียวไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ก่อนทั้งในชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้และช. พยานโจทก์ที่เบิกความว่าขณะประคองผู้ตายกลับบ้านผู้ตายมีพฤติการณ์เป็นทำนองว่าผู้ตายจะไปเอาเรื่องกับจำเลยอีกครั้งก็ไม่มีน้ำหนักเพราะช. ไม่ได้ให้การไว้เช่นนั้นในชั้นสอบสวนพยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้อย่างมั่นคงว่าการกระทำของจำเลยมิใช่เพื่อป้องกันตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี จำเลยรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 10 ปีจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นเป็นที่ยุติรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยได้ใช้ขวานเป็นอาวุธฟันนายณรงค์ จันทสิทธิ์ ผู้ตายที่บริเวณศีรษะหลายทีเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนใช้ขวานฟันทำร้ายผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานพฤติเหตุหรือพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับขณะเกิดเหตุคือ นางกุหลาบ เลิศขุนทดภริยาผู้ตายกับเด็กหญิงรำพึง มุมขุนทด บุตรสาวมาเบิกความว่านางกุหลาบกับเด็กหญิงรำพึงออกจากบ้านไปซื้อของที่ร้านค้าของนายเสมอ เมื่อไปถึงร้านค้าดังกล่าวพบผู้ตายร่วมวงดื่มสุราอยู่กับนายหวน พรหมพวง นาย ชำ พรหมพวง จำเลยและพวกเมื่อเห็นผู้ตายร่วมวงดื่มสุรา นางกุหลาบและเด็กหญิงรำพึงได้เลยขึ้นไปชั้นบนของร้านค้า เพื่อชมภาพยนตร์โทรทัศน์ และคิดว่าเมื่อภาพยนตร์เลิกแล้วจะซื้อของกลับบ้านพร้อมผู้ตายเมื่อชมภาพยนตร์ไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมงมีเสียงคนทะเลาะกันและมีเสียงแก้วแตกนางกุหลาบและเด็กหญิงรำพึงลงมาดู ผู้ตายบอกนางกุหลาบว่าถูกจำเลยพูดจาดูถูกหลายอย่างและบอกว่าจำเลยจะชกผู้ตายก่อนผู้ตายจึงชกจำเลยแล้วมีการห้ามปรามกันผู้ตายชวนนางกุหลาบกลับบ้าน โดยผู้ตายออกไปทางหน้าร้านค้า ส่วนนางกุหลาบออกไปทางหลังร้านค้า มีเสียงดังตุ๊บตั๊บอีก นางกุหลาบวิ่งออกมาดูเห็นจำเลยใช้ขวดสุราตีผู้ตายจนผู้ตายล้ม พวกที่อยู่ในวงสุราได้ช่วยกันห้ามปราม จำเลยคว้ากระเป๋าเครื่องมือก่อสร้างออกไปทางหน้าร้านค้า ส่วนผู้ตายนั่งรออยู่ที่ร้านค้า นางกุหลาบกลับเข้ามาในร้านค้าเพื่อซื้อของ แต่เมื่อออกมาจากร้านค้าอีกครั้งทราบว่าผู้ตายเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว นางกุหลาบจึงบอกให้เด็กหญิงรำพึงเดินตามผู้ตายไป ส่วนนางกุหลาบได้ย้อนกลับเข้าไปในร้านค้าเพื่อชำระค่าสินค้า ระหว่างนี้เด็กหญิงรำพึงวิ่งกลับมาบอกนางกุหลาบพบว่าผู้ตายถูกฟัน นางกุหลาบเบิกความต่อไปว่าเมื่อทราบเหตุพยานได้วิ่งไปดูยังที่เกิดเหตุ แต่ยังไปไม่ถึงคงอยู่ริมถนนฝั่งร้านค้า เห็นจำเลยถือด้ามเป็นไม้วิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุและวิ่งมาที่ริมถนนตรงที่พยานอยู่ ห่างพยานประมาณ 4 เมตรขณะนั้นเวลา 23 นาฬิกา พยานจำได้ว่าเป็นจำเลย เพราะขณะที่จำเลยวิ่งหลบหนีไปนั้นมีรถยนต์ขับสวนมาไฟหน้าส่องสว่างทำให้พยานเห็นหน้าจำเลยได้ชัดเจน เด็กหญิงรำพึงก็เบิกความเป็นที่สอดคล้องกับนางกุหลาบว่า ได้มายังร้านค้าดังกล่าวด้วยกันกับนางกุหลาบตลอดจนรู้เห็นว่าผู้ตายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับจำเลยและหลังจากเลิกรากันแล้ว จำเลยถือกระเป๋าออกไปทางหน้าร้านค้าแล้วนายหวนได้กอดคอผู้ตายไปส่งบ้านนางกุหลาบจึงออกมาบอกให้พยานตามผู้ตายไปก่อน ขณะที่พยานยืนอยู่ที่ฟากถนนมีรถยนต์แล่นสวนทางมา เห็นจำเลยวิ่งข้ามถนนมายังฟากที่พยานยืนอยู่ไฟหน้ารถยนต์คัดดังกล่าวส่องเห็นหน้าจำเลยชัดเจนขณะที่จำเลยวิ่งนั้นจำเลยถือด้ามไม้ แต่เป็นด้ามมีดหรือวัตถุสิ่งใดไม่ทราบ พยานจึงเข้าใจว่าจำเลยจะต้องทำร้ายผู้ตายแน่นอนร้อยตำรวจโทวีระพันสมสุข เบิกความว่า คืนเกิดเหตุได้รับแจ้งเหตุว่ามีการทำร้ายกันที่หมู่ที่ 15 ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาพยานพร้อมด้วยพันตำรวจโทเอก สุขสุนทรีย์ และพวกไปยังที่เกิดเหตุและทราบว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงตามไปล้อมจับจำเลยได้ที่บ้านพ่อตาจำเลย จากการสอบถามจำเลยรับว่าได้ใช้ขวานฟันทำร้ายผู้ตายจริงตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 ทั้งจำเลยได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาขวานของกลางที่บ้านพ่อตาจำเลยด้วย ชั้นสอบสวนจำเลยก็รับสารภาพ ตามเอกสารหมาย จ.8ทั้งจำเลยยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุและมีการถ่ายรูปไว้ด้วยตามภาพถ่ายหมาย จ.9 ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยไม่พอใจผู้ตายมาก่อนตั้งแต่ขณะที่ร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายที่ร้านค้าของนายเสมอ และได้ความจากนายหวน พรหมพวง และนายชำพรหมพวง พยานโจทก์ซึ่งร่วมวงดื่มสุราด้วยกันว่า ขณะนั่งดื่มสุราอยู่นั้นจำเลยพูดทวงเงินผู้ตายจำนวน 35 บาท ค่าพนันฟุตบอลโลกผู้ตายพูดว่า “ทวงเงินแค่ 35 บาท กลัวกูไม่มีให้หรือไง” ผู้ตายได้ลุกขึ้นเตะปากจำเลยแล้วต่างฝ่ายต่างชกต่อยกัน เมื่อนายหวนกับพวกเข้าห้ามปรามเรื่องก็เลิกรากันไปแล้วแต่เมื่อผู้ตายกลับบ้านจำเลยได้ไปทำร้ายผู้ตายอีกโดยใช้ขวานฟันผู้ตายหลายครั้งตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะยาว 4 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ 2 แผลและยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะอีก 1 แผล และยังมีแผลที่เหนือคิ้วซ้ายยาว 1 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร บาดแผลดังกล่าวเกิดจากของมีคม ส่วนที่จำเลยอ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกันตนเนื่องจากผู้ตายจะทำร้ายจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะจำเลยอ้างเอาฝ่ายเดียวไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ก่อน ทั้งในชั้นสอบสวนก็ไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและโดยเฉพาะที่นายชำเบิกความในชั้นศาลว่า ขณะประคองผู้ตายกลับบ้านผู้ตายใช้ศอกกระทุ้งบริเวณลิ้นปี่ของตนจนมีอาการจุกแล้วผู้ตายวิ่งข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง เป็นทำนองว่าผู้ตายจะไปเอาเรื่องกับจำเลยอีกครั้งนั้นก็ไม่มีน้ำหนักเพราะคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.2 นายชำไม่ได้ให้การไว้เช่นนั้นพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงรับฟังได้อย่างมั่นคงว่าการกระทำของจำเลยมิใช่เพื่อป้องกันตัว จำเลยจึงมีความผิดดังฟ้อง พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share