แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้อันลูกหนี้จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสอง นั้น ลูกหนี้หาจำต้องได้คาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นล่วงหน้าตั้งแต่ขณะทำสัญญาเสมอไปไม่ หากปรากฏว่าลูกหนี้ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นก่อนประพฤติผิดสัญญากู้เพียงพอที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดได้
จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ ได้ชำระหนี้บางส่วนด้วยเช็ค โจทก์ได้บอกจำเลยถึงเรื่องที่โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านจาก ช.โดยได้วางมัดจำไว้ด้วย หากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คของจำเลยจะทำให้โจทก์ถูกริบมัดจำได้ โดยบอกตั้งแต่ก่อนเช็คของจำเลยถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การที่จำเลยกระทำผิดสัญญาโดยมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็ค เป็นเหตุให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและโจทก์ไม่มีเงินไปชำระแก่ ช. ช.จึงริบมัดจำที่โจทก์วางไว้ ดังนี้ความเสียหายของโจทก์เป็นความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ราคาสามล้านบาทเศษ โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยทั้งสองค้างชำระราคาอีก ๘๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้ชำระด้วยเช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ผิดสัญญาที่ตกลงซื้อที่ดินและบ้านจากนายชาตรีไว้ในราคา ๙๐๐,๐๐๐ บาท นายชาตรีริบมัดจำของโจทก์ไป ๒๐๐,๐๐๐ บาทซึ่งจำเลยทราบความข้อนี้ดีอยู่แล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่โจทก์ผิดสัญญาต่อนายชาตรี
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากบุคคลภายนอกเป็นเรื่องส่วนตัวของโจทก์และไกลกว่าเหตุ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายรวมทั้งค่าเสียหาย๒๐๐,๐๐๐ บาทของโจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้อันลูกหนี้จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๒ วรรคสอง นั้น ลูกหนี้หาจำต้องได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าตั้งแต่ขณะทำสัญญาเสมอไปไม่ หากปรากฏว่าลูกหนี้ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นก่อนประพฤติผิดสัญญาก็เพียงพอที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดได้แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า ฟังได้ว่าโจทก์ได้บอกจำเลยที่ ๑ ถึงเรื่องโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมด้วยบ้านและวางมัดจำไว้ตั้งแต่ก่อนเช็คเอกสารหมาย จ.๓ จะถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ทราบแล้วว่าหากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.๓ จะทำให้โจทก์ต้องถูกริบมัดจำได้ การที่จำเลยที่ ๑ยังกระทำผิดสัญญาโดยมีคำสั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เป็นเหตุให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและโจทก์ไม่มีเงินไปชำระแก่นายชาตรี ทำให้นายชาตรีริบเงินมัดจำจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์วางไว้ ความเสียหายของโจทก์จึงเป็นความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ วรรคสอง จำเลยที่ ๑จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว
พิพากษายืน