คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1597/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยเป็นผู้รับคำสั่งซื้อและจัดหาเมทแอมเฟตามีนไว้ วันเกิดเหตุจำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้ จ. และ ส. นำไปส่งให้ ว. ลูกค้าของจำเลยที่อยู่กรุงเทพมหานครทางไปรษณีย์และจำเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปดูการส่งเมทแอมเฟตามีนของ จ. และ ส. จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับ จ. และ ส. ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หาใช่เป็นกรณีที่จำเลยใช้ให้ จ. และ ส. กระทำความผิดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 279/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 3,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 279/2552 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1328/2552 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000,000 บาท หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และจำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยว่าจ้างให้นายจายเรียงและนายแสง นำเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไปส่งให้แก่นายวิชิต ณ ที่ทำการไปรษณีย์ที่เกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มี นายจายเรียงเป็นพยานเบิกความว่า พยานรู้จักจำเลยแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ในวันเกิดเหตุจำเลยว่าจ้างให้พยานและนายแสงนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้นายวิชิต ณ ที่ทำการไปรษณีย์ที่เกิดเหตุโดยจำเลยเป็นผู้จัดหารถจักรยานยนต์ให้พยานและนายแสงคนละ 1 คันเป็นยานพาหนะในการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่ง โดยจำเลยจะให้ค่าจ้างคนละ 5,000 บาท ในระหว่างที่พยานและนายแสงขับรถจักรยานยนต์ไปที่ทำการไปรษณีย์ที่เกิดเหตุ จำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามมาสังเกตการณ์ด้วย เมื่อพยานและนายแสงถูกจับกุมก็ยอมรับกับพันตำรวจตรีพัฒนศักดิ์กับพวกว่าพยานและนายแสงรับจ้างจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งแก่ผู้ซื้อทางไปรษณีย์ ตามบันทึกการจับกุม และบันทึกคำให้การผู้ต้องหา และโจทก์มีพันตำรวจตรีพัฒนศักดิ์กับจ่าสิบตำรวจขจรศักดิ์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความยืนยันว่า หลังจากถูกจับกุมนายจายเรียงและนายแสงให้การว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างให้พวกตนนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งแก่นายวิชิตทางไปรษณีย์และพาพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกไปหาจำเลยที่บ้านแต่ไม่พบจึงตรวจค้นบ้านของจำเลยและพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของบัญชี 2 เล่มจึงยึดไว้เป็นของกลาง พยานโจทก์ทั้งสองควบคุมนายจายเรียงและนายแสงพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน นอกจากนี้โจทก์มีพันตำรวจโทวสันต์พนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานตรวจสอบรถจักรยานยนต์ของกลาง 2 คันที่นายจายเรียงและนายแสงขับไปส่งเมทแอมเฟตามีนพบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ของจำเลยทั้งสองคัน และพยานตรวจสอบการเคลื่อนไหวทางบัญชีของสมุดบัญชีเงินฝากของกลาง 2 เล่ม ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุมีการโอนเงินเข้าบัญชีและถอนออกไปจากบัญชีของจำเลยหลายครั้ง แต่ละครั้งจำนวนมากผิดปกติ เห็นว่า คำเบิกความของ นายจายเรียงและคำให้การชั้นสอบสวนของนายจายเรียงและนายแสงเกี่ยวกับการรับจ้างจำเลยไปส่งเมทแอมเฟตามีนของกลางแม้จะเป็นคำซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันแต่ก็หาได้เป็นข้อเท็จจริงที่จะทำให้นายจายเรียงและนายแสงพ้นโทษเพราะการกระทำความผิดของตนไม่ และยังสอดคล้องกับคำเบิกความของพันตำรวจตรีพัฒนศักดิ์และจ่าสิบตำรวจขจรศักดิ์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยว่านายจายเรียงและนายแสงพาพยานทั้งสองไปบ้านจำเลยและตรวจพบสมุดบัญชีเงินฝากของกลาง 2 เล่มซึ่งพันตำรวจโทวสันต์เบิกความว่าเป็นบัญชีเงินฝากของจำเลยที่มีรายการโอนเงินเข้าบัญชีและถอนออกไปจากบัญชีหลายครั้งโดยรายการโอนและถอนแต่ละครั้งจะเป็นเงินจำนวนมากขัดกับรายได้ของจำเลยตามที่นำสืบว่ามีรายได้เดือนละประมาณ 10,000 บาท พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกับนายจายเรียงมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเนื่องจากจำเลยทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อทางราชการ จำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดหารถจักรยานยนต์ให้นายจายเรียงและนายแสง แต่บุคคลทั้งสองได้ขอยืมจากภริยาจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน ทั้งเพิ่งหยิบยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายจายเรียงและจ่าสิบตำรวจขจรศักดิ์จึงไม่มีพิรุธ รับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่าการที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยในช่วงวันที่ 4 ถึง 5 มิถุนายน 2551 ไม่ได้เป็นพิรุธเพราะเงินที่โอนเข้าบัญชีเป็นเงินของนายเจริญ หลานชายของจำเลยเพื่อใช้สร้างบ้านที่บ้านห้วยศาลา และเงินที่โอนเข้าบัญชีบางส่วนเป็นของหลานสาวจำเลยซึ่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครเพื่อนำไปให้มารดาของจำเลยนั้น เห็นว่า ตามรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย บัญชีที่ 510-2-06624-7 ของจำเลย ปรากฏว่าในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 มีเงินเข้าบัญชี 2 รายการ จำนวน 350,000 บาทกับ 160,000 บาท ต่อมาวันที่ 18 เดือนเดียวกันถอนออก 300,000 บาท ส่วนรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย บัญชีเลขที่ 510-0-31628-9 ของจำเลยอีกบัญชีหนึ่ง ปรากฏว่าในวันที่ 4 มิถุนายน 2551 นายเจริญถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซีคอนสแควร์ โดยทำการที่เครื่องเบิกถอนเงินสด ณ ที่ทำการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองตัน โอนเงินเข้าบัญชีจำเลยดังกล่าวจำนวน 409,000 บาท บัญชีเงินฝากของจำเลยดังกล่าวทำบัตรถอนเงินสดไว้ด้วยโดยสามารถถอนเงินสดได้ไม่เกินครั้งละ 25,000 บาท แต่ละวันถอนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ตามหนังสือของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย ซึ่งในวันที่ 4 มิถุนายน 2551 เมื่อนายเจริญโอนเงินให้จำเลยแล้ว มีการถอนเงินด้วยบัตรถอนเงินสดครั้งละ 25,000 บาท รวม 12 ครั้ง และต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2551 ก็ยังปรากฏว่านายเจริญโอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซีคอนสแควร์เข้าบัญชีจำเลยดังกล่าว 2 ครั้ง จำนวน 150,000 บาท และ 20,000 บาทตามลำดับ นอกจากนี้ยังปรากฏว่านายยี่ โอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเซ็นทรัล บางนา เข้าบัญชีจำเลย 2 ครั้ง จำนวน 150,000 บาทและ 30,000 บาท ตามหนังสือของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย เมื่อพิจารณารายการเคลื่อนไหวทางบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาแม่อาย บัญชีเลขที่ 510-0-31628-9 ของจำเลย ยังปรากฏชัดว่าก่อนเกินเหตุคดีนี้ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2551 มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย 440,000 บาทและในวันที่ 18 พฤษภาคม 2551 มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย 300,000 บาทเป็นต้น ซึ่งรายการโอนเงินเข้าและถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสองบัญชีข้างต้นเป็นจำนวนเงินที่สูงมากขัดกับรายได้ของจำเลยที่เบิกความว่าจำเลยมีรายได้จากการทำไร่ทำสวนและเลี้ยงสุกรเดือนหนึ่งไม่ถึง 10,000 บาท ทั้งจำเลยไม่ได้นำนายเจริญและหลานสาวของจำเลยมาเบิกความยืนยันว่าเงินที่เข้าบัญชีจำเลยเป็นเงินของบุคคลดังกล่าวตามที่จำเลยนำสืบ ฎีกาของจำเลยดังที่กล่าวมาฟังไม่ขึ้น การที่มีการโอนเงินเข้าและถอนออกจากบัญชีเงินฝากของจำเลยในช่วงเกิดเหตุคดีนี้จำนวนมากเป็นข้อพิรุธที่ทำให้เชื่อว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แม้คำเบิกความของนายจายเรียงและคำให้การของนายจายเรียงกับคำให้การของนายแสงจะเป็นพยานซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันซึ่งกฎหมายห้ามมิให้รับฟังก็ตาม แต่ก็มิได้ห้ามเด็ดขาด เมื่อพิจารณาตามสภาพ ลักษณะแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานดังกล่าวมาประกอบกับโจทก์มีพยานบุคคลและพยานเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานสนับสนุน ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากเหตุอันควรสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในลักษณะผู้รับคำสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนและจัดหาเมทแอมเฟตามีนไว้ จากนั้นจำเลยจึงให้บุคคลที่ร่วมขบวนการของจำเลยเป็นผู้จัดส่งเมทแอมเฟตามีนแก่ลูกค้าอีกทอดหนึ่ง และในวันเกิดเหตุจำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองจำนวน 20,000 เม็ดให้นายจายเรียงและนายแสงนำไปส่งให้นายวิชิตลูกค้าของจำเลยที่อยู่กรุงเทพมหานครทางไปรษณีย์โดยให้ค่าจ้างคนละ 5,000 บาท และจำเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปดูการส่งเมทแอมเฟตามีนของนายจายเรียงและนายแสงด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังได้ดังที่วินิจฉัยมาข้างต้นว่าในวันที่เกิดเหตุจำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 20,000 เม็ดให้นายจายเรียงและนายแสงนำไปส่งให้นายวิชิตลูกค้าของจำเลยที่อยู่กรุงเทพมหานคร ย่อมแสดงว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่ก่อนที่จะมอบให้นายจายเรียงและนายแสงนำไปส่งให้ผู้มีชื่อ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับนายจายเรียงและนายแสงในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหาใช่เป็นกรณีที่จำเลยเป็นผู้สนับสนุนให้นายจายเรียงและนายแสงกระทำความผิด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share