คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8401/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง…” ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในความผิดอันเป็นเหตุให้มีการยึดทรัพย์รายนี้ การยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ผู้ร้องอ้างว่าเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้คัดค้านย่อมสิ้นสุดลง ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวของผู้คัดค้านนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ ตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินผู้คัดค้านตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 19, 20, 21, 23, 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้สั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินทุกรายการที่ถูกยึดเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านได้มาจากการประกอบอาชีพสุจริต และมิได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สิน 48 รายการ ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ 118/2550 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29 และ 31
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 เจ้าพนักงานตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่จับกุมนางวิลาวรรณ และนางสุพัฒน์ ในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนจำนวน 32 ถุง และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 7,400 เม็ด เหตุเกิดที่อำเภอหางดงและอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว มีหลักฐานเบื้องต้นว่า ผู้คัดค้านสมคบกับนางวิลาวรรณกับพวก วันที่ 9 พฤศจิกายน 2547 เจ้าพนักงานตำรวจยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ตรวจสอบรวม 71 รายการ ตามบันทึกการตรวจค้นและตรวจยึดทรัพย์สินและบัญชีการยึดทรัพย์สิน ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้คัดค้านตามหมายจับของศาลชั้นต้นและภายหลังจับกุมผู้คัดค้านเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านไว้ชั่วคราวรวม 48 รายการ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้ง 48 รายการของผู้คัดค้านให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31 นอกจากนี้ผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีหมายเลขแดงที่ อย.886/2549 ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ถูกยึดไว้ 48 รายการเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ เห็นว่า คดีอาญาที่ผู้คัดค้านถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกับพวกเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง กรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง…” ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในความผิดอันเป็นเหตุให้มีการยึดทรัพย์รายนี้ การยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ผู้ร้องอ้างว่าเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้คัดค้านย่อมสิ้นสุดลง ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า ทรัพย์สินดังกล่าวของผู้คัดค้านนั้นเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่ ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์สิน 48 รายการ ของผู้คัดค้านนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และให้คืนทรัพย์สินของผู้คัดค้านตามคำร้อง 48 รายการ แก่ผู้คัดค้าน

Share