คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12770/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ส่วนจำเลยได้รับการยกให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) จากผู้มีชื่อ จึงนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าจะเอาที่ดินพิพาทคืนทั้งหมด ตามคำฟ้องโจทก์ จำเลยยังไม่ได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท ข้ออ้างที่ว่าจำเลยแย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงยังไม่เกิด โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งตามคำขอท้ายฟ้องที่ให้บังคับจำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ก็ไม่อาจบังคับได้เพราะจำเลยไม่มีหน้าที่ตามข้อผูกพันใดที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 1 งาน ซึ่งอยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1013 ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ตามแผนที่ดินพิพาทท้ายฟ้อง และบังคับให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการโอน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 1 งาน 95 ตารางวา ตามแผนที่พิพาท ซึ่งอยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1013 ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1013 ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม เดิมเป็นของนางนวล โดยนายลี กับนางหวด บิดามารดาโจทก์ได้รุกล้ำเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมานายลีและนางหวดได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา ส่วนจำเลยได้รับการยกให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1013 จากนางนวลกับนางร่วมจิตร์ จำเลยจึงนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินดังกล่าวรวมทั้งที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าจะเอาที่ดินพิพาทคืนทั้งหมด เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์เป็นกรณีที่จำเลยมีชื่อเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์และโจทก์ได้แย่งการครอบครองและเข้าทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา แล้วจำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินพิพาท โดยที่จำเลยยังไม่ได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น ข้ออ้างที่ว่าจำเลยแย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงยังไม่เกิด โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งตามคำขอท้ายฟ้องที่ให้บังคับจำเลยโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ก็ไม่อาจบังคับได้เพราะจำเลยไม่มีหน้าที่ตามข้อผูกพันใดที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share