คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1593/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้ต่อธนาคาร ก. เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่มีต่อธนาคาร ก. ต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคาร ก. ให้แก่โจทก์เพื่อนำไปเบิกเงินและไถ่ถอนจำนอง แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากนั้นโจทก์ได้ถูกธนาคาร ก. ฟ้องบังคับจำนองคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คโจทก์จึงยังมิได้ถูกธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยฟ้องบังคับจำนองหรือโจทก์ได้ชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารแล้ว ณ ขณะนั้นจำเลยไม่มีหนี้ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย อันเนื่องจากโจทก์ถูกธนาคารบังคับชำระหนี้แทนจำเลย ฉะนั้น เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็ค โดยยังไม่มีหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2536 โจทก์ได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์จำนวน 2 แปลง ไว้กับธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) สาขาสกลนคร เพื่อประกันหนี้ของจำเลยในวงเงิน760,000 บาท โดยจำเลยจะไถ่ถอนจำนองให้โจทก์ภายในเวลาไม่เกิน1 ปี ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2537 จำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสกลนคร ลงวันที่ 14 มกราคม 2537สั่งจ่ายเงินจำนวน 800,000 บาท ให้แก่โจทก์เพื่อเบิกเงินมาไถ่ถอนจำนองที่ดินโจทก์ดังกล่าว เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2537 โดยเหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถได้รับเงินตามเช็ค จึงไม่สามารถไถ่ถอนจำนองที่ดินของโจทก์ดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลย 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2536 โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดิน 2 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3450 และ 3451 ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ไว้ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสกลนคร จำนวนเงิน760,000 บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่มีต่อธนาคารดังกล่าวตามสำเนาสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 14 มกราคม2537 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารเดียวกันจำนวนเงิน 800,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.2 ให้แก่โจทก์เพื่อนำไปเบิกเงินและไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งสองแปลงนั้น แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างเหตุ”โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3 เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามบันทึกรายการบัญชีของจำเลยเอกสารหมายจ.4 หลังจากนั้นโจทก์ได้ถูกธนาคารดังกล่าวฟ้องบังคับจำนอง คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี และคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยโจทก์ฎีกาฝ่ายเดียว ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แต่จากข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติข้างต้น ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นปรับบทกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏเสียก่อนโดยเห็นว่า ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ยังมิได้ถูกธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยฟ้องบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินทั้งสองแปลงหรือโจทก์ได้ชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารแล้วณ ขณะนั้นจำเลยไม่มีหนี้ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย อันเนื่องจากโจทก์ถูกธนาคารบังคับชำระหนี้แทนจำเลย ฉะนั้น เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.2 โดยยังไม่มีหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ตามที่โจทก์ฟ้องศาลย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share