แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อตามคำพิพากษากำหนดให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นรายเดือนจำเลยจึงไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งหมดในทันที เพียงแต่ต้องชำระให้เฉพาะงวดที่ถึงกำหนดเท่านั้น ดังนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิอายัดและยึดถือเงินบำเหน็จของ จำเลยในส่วนที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายสวัสดิ์ ไกรแสงศรี จากจำเลยเป็นโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสวัสดิ์ให้แก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาทนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กชายสวัสดิ์จะบรรลุนิติภาวะ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินบำเหน็จของจำเลยไปยังองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยได้คำนวณหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ1,500 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคือวันที่ 20 เมษายน 2532จนกว่าเด็กชายสวัสดิ์จะบรรลุนิติภาวะ คือวันที่ 6 มกราคม 2539พร้อมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีรวมเป็นเงินจำนวน 125,662 บาท ต่อมาองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้ส่งเงินตามคำสั่งอายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเงิน 91,017.09 บาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นรายเดือน เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันที่ 20 เมษายน 2532เป็นต้นไปจนกว่าเด็กชายสวัสดิ์จะบรรลุนิติภาวะ คือวันที่ 6มกราคม 2539 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหนี้ของโจทก์เป็นเงิน125,662 บาท เป็นการคิดหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้วในปัจจุบันและหนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระในอนาคต โดยหนี้ในอนาคตจำเลยยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องชำระตามคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยทั้งหมดจำนวน 91,684.20 บาท เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหมายบังคับคดีของศาล ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินจำนวน 73,684.20 บาท แก่จำเลย หรือขอให้เพิกถอนการอายัดเงินทั้งหมด และให้จำเลยรับเงินจำนวน 91,684.20 บาทไปจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาคิดเป็นเงินจำนวน 125,662 บาท แต่จำเลยได้ลาออกจากการเป็นพนักงานขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และคงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจำนวน 91,684.20 บาท ไม่เพียงพอกับหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูตามคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จไว้ทั้งหมดจึงชอบแล้วส่วนโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเมื่อใดอยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะจ่ายให้โจทก์เป็นครั้งคราวไป และเงินบำเหน็จจำนวนนี้ก็ไม่เป็นเงินที่จำเลยจะได้รับจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นงวด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(3) ขอให้ยกคำร้องของจำเลย
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานการบังคับคดีว่าหากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อายัดเงินบำเหน็จของจำเลยตามที่โจทก์ร้องขอ โจทก์อาจไม่ได้รับชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีจากจำเลย เนื่องจากโจทก์แถลงว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยไม่เคยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้อายัดเงินบำเหน็จของจำเลยไปเป็นจำนวนเงิน 125,662 บาท ตามหมายบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการจ่ายเงินให้โจทก์ไว้เพื่อรอคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีมีสิทธิอายัดเงินทั้งจำนวนมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ไม่ต้องคืนเงินที่อายัดให้แก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษาแก้เป็นว่าให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามงวดที่ถึงกำหนดชำระแล้ว ส่วนที่เหลือให้ถอนการอายัด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้กำหนดให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสวัสดิ์ให้แก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าเด็กชายสวัสดิ์จะบรรลุนิติภาวะ จากคำพิพากษาดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยไม่จำต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสวัสดิ์ให้แก่โจทก์ทั้งหมดในทันที แต่ต้องแบ่งชำระให้โจทก์เป็นงวดรายเดือนเฉพาะงวดที่ถึงกำหนดชำระแล้วเท่านั้น ดังนั้น หนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสวัสดิ์สำหรับงวดยังไม่ถึงกำหนดที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเงินบำเหน็จของจำเลยที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดส่งมายังเจ้าพนักงานบังคับคดีตามหนังสืออายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไว้เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินบำเหน็จของจำเลยมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามงวดที่ถึงกำหนดชำระแล้ว ส่วนที่เหลือให้ถอนการอายัด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.