คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยกีดขวางทางสาธารณะเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุประกอบกับคำรับของคู่ความว่าที่ดินของจำเลยอยู่ริมแม่น้ำ หน้าที่ดินของจำเลยมีทางเดินซึ่งสาธารณชนใช้เดินเลียบริมแม่น้ำมา 15ปีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงต่อไป เพราะถึงแม้จะฟังตามฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยว่า ทางเดินเดิมได้พังลงแม่น้ำไปหมดแล้ว ทางเดินใหม่อยู่ในโฉนดของจำเลยก็ตามเมื่อจำเลยได้สละสิทธิให้สาธารณชนเดินมานานตั้ง 15 ปี จำเลยจะปิดกั้นเสียหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจทำรั้วไม้ไผ่และใช้กิ่งไม้ปิดกั้นที่ชายตลิ่งข้างทางเดินอันเป็นที่สำหรับขึ้นลงท่าน้ำซึ่งเป็นที่สาธารณะ เป็นเหตุให้ประชาชนไม่อาจใช้ทางที่จำเลยปิดกั้นขึ้นลงท่าน้ำและถนนริมน้ำได้ ขอให้ลงโทษ

ศาลชั้นต้นเผชิญสืบที่เกิดเหตุตามคำขอร้องของคู่ความ แล้วสั่งงดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายเสีย พิพากษาว่า จำเลยทำรั้วกีดขวางทางจราจรซึ่งสาธารณชนจะใช้ขึ้นลงแม่น้ำน่าน จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ให้ปรับ 100 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยตามข้ออุทธรณ์ของจำเลย จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า ที่ดินริมตลิ่งแม่น้ำน่านตรงที่จำเลยทำรั้วปิดนั้นเป็นที่สาธารณะหรือเป็นที่ดินของจำเลยแล้วพิพากษาไปตามกระบวนความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุ ประกอบกับคำรับของคู่ความว่า ที่ดินของจำเลยอยู่ริมแม่น้ำน่าน หน้าที่ดินของจำเลยมีทางเดินซึ่งสาธารณชนใช้เดินเลียบริมแม่น้ำน่านมา 15 ปี และจำเลยแถลงรับแล้วว่าทางเดินหน้าที่ดินของจำเลย สาธารณชนได้ใช้เดินมา 15 ปีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงต่อไป เพราะถึงแม้จะฟังตามฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยว่า ทางเดินเดิมได้พังลงแม่น้ำไปหมดแล้ว ทางเดินใหม่อยู่ในโฉนดของจำเลยก็ตาม เมื่อจำเลยได้สละสิทธิให้สาธารณชนเดินมานานตั้ง 15 ปีเช่นนี้ จำเลยจะปิดกั้นเสียหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share